วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เมื่อต้องดูแลกลุ่มอนุชน..ลิงทะโมนในคราบลูกแกะ




ผมเพิ่งกลับจากค่ายของCTTM โดยพาบรรดาลูกลิง เอ้ย ลูกแกะทั้งหมด 6 คนไปร่วมเล่นดนตรีรอบพิเศษหลังการเทศนาตอนค่ำ โดยเดินทางตอนบ่ายวันศุกร์ และกลับตอนเที่ยงคืนวันเสาร์ที่2 พค. ถึงกรุงเทพตอนตีสาม

ผมเชื่อพระเจ้าตอนที่เป็นอนุชน และเริ่มรับใช้ตอนนั้นทันที ผมจึงโตมาในวัยอนุชนซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดี มีลูกแกะถามผมวันนึงว่า ตอนสมัยผมเป็นอนุชน เรียนมหาวิทยาลัย ผมเข้าชมรมอะไรบ้าง ผมก็คิด...แล้วตอบไปว่า ผมไม่ได้เข้าชมรมอะไรเลยตอนเรียนมหาวิทยาลัย เพราะกิจกรรมของผมทั้งหมด มันอยู่ที่โบสถ์หมดแล้วครับ ทั้งดนตรี ค่าย กีฬา ประกวด เยี่ยมเยียนระหว่างโบสถ์ งานประกาศ ฯลฯ มานั่งนึกๆเออ งานในโบสถ์เราตอนเป็นอนุชนเนี้ยะ มันเหมือนกับอยู่ชมรมสัก 10ชมรมได้ ทำมันทุกอย่างจริงๆ แล้วก็เป็นเรื่องที่สนุกๆมากๆด้วยครับ เวลาที่คิดย้อนกลับไปตอนวัยรุ่นของเรา พอไปมหาวิทยาลัยก็เรียนอย่างเดียว เพราะเรียนเสร็จ ก็ต้องกลับมาเข้ากลุ่มเซลบ้าง มาซ้อมดนตรีบ้าง หรืออาจจะต้องออกไปสำรวจค่ายตอนวันหยุดสุดสัปดาห์บ้าง มีอะไรให้ทำตลอดทั้งปี ตั้งแต่มกราคมยันธันวาคม

โลกของอนุชน หรือวัยรุ่น มันเป็นโลกแห่งสีสัน และประสบการณ์ใหม่ๆจริงๆครับ โลกของเขาไม่ได้มี"กรอบ" หรือ "เวลา"มากำกับหรือบังคับ เพราะ เขาจะตื่นกี่โมงก็ได้ ไปเรียนก็ได้ ไม่เรียนก็ได้ หรือจะหาเวลาไปต่างจังหวัดสัก 3-4วันก็เป็นเรื่องธรรมดามากๆ เพียงแต่จะต้องมี "วินัย"ในการเรียนสักหน่อยที่ขาดไป2-3วันก็ต้องไปตามเลกเชอร์กับเพื่อน หรือตามส่งงานให้ครบ ก็จะไม่มีปัญหากับการเรียนเลย ไม่เหมือนพวกเราวัยทำงาน ผู้ใหญ่ ลองขาดงานไป 2-3วัน เป็นโดนเจ้านายมองตาเขียว หรือไม่ก็อาจจะเห็นซองขาวๆอยู่บนโต๊ะทำงานของเราก็ได้

เพราะฉะนั้นเวลาเราจะทำงานรับใช้กับอนุชน ก็ต้องเข้าใจโลกของเขาด้วยครับ บางทีเราผ่านช่วงเวลานั้นมานานเกินไปจนเราก็หลงลืมไปว่า ในสมัยรุ่นของเรานั้นเป็นอย่างไรไปแล้ว

บางครั้งเราก็ให้พวกเขาคิดกันนอกกรอบได้ครับ หรือว่าพาพวกเขาไปเรียนรู้ในโลกกว้าง นอกโบสถ์ พาไปออกทริป ไปต่างจังหวัด หรือบางครั้งมีงานอะไรบางอย่างก็ให้พวกเขา"คิดเอง" ดีกว่าที่เราไป"สั่ง"เขานะครับ แล้วพวกผู้ใหญ่อย่างเราก็ต้องคอยติดตามสอบถามความคืบหน้าของงาน และกรอบประเด็นที่จะต้องไม่ตกขอบเกินไป เหมือนกับเป็นคนที่คอยให้คำปรึกษาหละครับ ผมว่าเราทุกคนก็ล้วนโตมากับคำว่า"ลองถูกลองผิด" ดังนั้นบางอย่างก็ปล่อยให้เขาได้"ลองถูกลองผิด"บ้างก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่ร้ายแรง เราต่างก็รู้จักลูกแกะของเราดีไม่ใช่เหรอครับ ถ้ารุ้จักดีก็ปล่อยเขาบ้าง ลูกแกะผมคนนึงยังแอบสูบบุหรี่ กินเหล้าอยู่เลยครับ มีครั้งนึงผมเห็นคาตา ก็ชี้นิ้วว่า"ไอ้พจ...สูบบุหรี่เหรอวะ" มันก็รีบแก้ตัว"ผมเครียดอะพี่" หึหึ เครียดอะไรของมันวะ แม่มอายุ 18 จะเครียดอะไรนักหนา แต่ก็ให้อภัยมัน เราทำได้ก็คืออธิษฐานเผื่อ และให้ความรักและเข้าใจมัน แต่ก็ต้องแสดงให้มันรู้ว่า "เราไม่เห็นด้วย" นะครับกับสิ่งที่ทำผิด แต่ก็ไม่ถึงกับให้อภัยไม่ได้ เชื่อไหมครับ หลังจากนั้นเป็นต้นมามันก็ไม่สูบบุหรี่อีกเลย (หรือว่าเราไม่เห็นก็ไม่รู้ ฮ่าๆ)

แต่ก็เอาเถอะครับ สมัยของผมเอง ก็ยอมรับเลยว่า เป็นอนุชนที่รักพระเจ้ามากคนนึง แต่ก็ยังมีช่วง"แรด" ไปเที่ยวRCA กับเพื่อน ถองเหล้ากันจนเมา พอตอนเช้าก็มานั่งสารภาพบาป 55 แล้วไอ้เพื่อนตัวดีตอนนั้น ปัจจุบันมันก็เป็นผู้รับใช้พระเจ้าที่Holy มากคนนึงครับ ผ่านมาด้วยกัน ดังนั้นการเข้าใจวัยรุ่น อนุชน ที่จะพลั้งเผลอทำบาปบ้าง ให้เราคิดซะว่า ก็ยังดีกว่ามันโกหกแล้วแอบปิดบังเรา ไปทำการฉ้อฉลต่อหน้าเป็นคนHoly แต่ลับหลังไปโกงหรือหลอกลวงคนอื่นแบบผู้รับใช้หลายท่านทำ ไม่มีบาปใดที่ให้อภัยไม่ได้ครับถ้าสารภาพบาปและกลับใจใหม่ (ยกเว้นบาปคือ การหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ มัทธิว 12:31 )

ปล. ไอ้รูปลิงสองตัวเนี้ยะ มันคือลูกแกะของผมเองครับ
Posted by Picasa

วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ผมเพิ่งโดนพนักงานใหม่ขโมยเงินหมดลิ้นชักไปเลยครับ อะ ขอบคุณพระเจ้า





ที่ต้องขอบคุณพระเจ้าเพราะมีเหตุผลครับ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง

ตั้งแต่ก่อนที่ผมจะเปิดธุรกิจร้านอินเทอร์เน็ตและเช่าการ์ตูนนั้น ผมไม่เคยมีเหตุต้องขึ้นโรงพัก หรือสถานีตำรวจเลยนะครับ ตั้งแต่เกิดจนโตมาอายุ30กว่าปี แต่พอเปิดร้านเน็ต24ชม.เท่านั้น เหมือนกับผมทำงานท่ามกลางสมรภูมิมิจฉาชีพอย่างไงอย่างงั้น เจอคนแนวนี้ หรือเหตุการณ์อาชญากรรมมาตลอด 2ปีกว่าที่ผ่านมา ทั้งเกิดขึ้นกับคนอื่น และเกิดขึ้นกับตัวเอง เหมือนพระเจ้าให้ออกจากหมู่บ้านสงบสุข(แคว้นไชร์ ของพวกฮ๊อบบิทใน The Lord of the Ring) มาสู่สนามรบแนวหน้าทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายวิญญาณ ผมต้องขึ้นโรงพักไปสังฆกรรมกับคุณตำหนวด เอ้ยตำรวจไม่ต่ำกว่า4หนดังนี้

1. เปิดร้านแค่สามวัน บังเอิญนั่งคุมร้านทำเครื่องคอมพิวเตอร์จนลืมไปว่า รถจอดอยู่หน้าร้านทั้งคืนยันเช้า ผมนอนหลับคาเก้าอี้ในร้าน ตื่นมาอีกที วิ่งมาดูรถที่จอดริมถนนหน้าร้าน โดนเจ้าแท่งสีเหลืองๆล๊อคเข้าที่ล้อหน้าเรียบร้อยแล้วครับ โหคุณตำหนวดจราจร ผมจอดรถเกินเวลาห้ามจอด ตอนตี 5ไปชั่วโมงเดียวเอง ใบสั่งอย่างเดียวก็น่าจะพอแล้วนะครับ พี่แกโหดเหลือหลาย สรุปต้องซ้อนมอเตอร์ไซต์รับจ้างไปที่สน.บางนาเช้าวันนั้นแถมเสียค่าปรับไป 400บาท ฮาเลลูยา บทเรียนบทแรกของผมก็คือ "จราจรที่นี่ดุ อย่าฝ่าฝืนกฏแม้แต่นิดเดียว" โอเคครับ ผมจะระวัง...

2. ผมมีรถมอเตอร์ไซต์ฮ้าง(เก่ามากกกกก)คันนึง ประมาณว่าสต๊าท 30ทีถึงติด(ไม่ได้โม้นะ นับทุกครั้งครับ) เสียค่าซ่อมซากไปประมาณ 5พันบาทกว่าจะเอามาขี่ได้(โล๊ะมาจากญาติแถวๆนี้) คอก็ล๊อคไม่ได้ ผมยังเคยพูดกับน้องๆเลยว่าเสียบกุญแจทิ้งไว้ยังไม่มีคนเอาเลย แต่ขอโทษครับ...ผมคิดผิด..เพราะอะไรที่มันขโมยได้ แล้วเอาไปแลกเป็นเงิน 100บาทมันก็เอาครับ วันนั้นร้านผมบังเอิญไม่ได้เปิด 24ชม.เนื่องจากไม่มีสต๊าฟกะกลางคืน ร้านจึงปิดตี 3 ผมกำลังจะเก็บร้าน ปกติผมจะล๊อคโซ่กับมอเตอร์ไซต์ไว้กับเสาไฟฟ้า (โซ่เพิ่งซื้อมาก่อนหน้า 2วัน เหมือนพระเจ้าเตือนแล้ว) แต่วันนั้นลืมล๊อคเพราะเพิ่งขี่ไปซื้อข้าวมาก่อนร้านปิด 2ชม.เอง ผมเดินมาเก็บของ เก็บเครื่องคอมพิวเตอร์ เดิมออกมาอีกที มอเตอร์ไซต์ฮ้างของพ้ม มันหายไปแล้ว คลาดกันไม่ถึง 5นาที ผมรีบกลับไปดูกล้องวงจรปิด มอเตอร์ไซต์โดนลากไปทางหัว มันเป็นจุดบอดของกล้องวงจรปิด ผมเลยมองไม่เห็นหน้าขโมย แต่คาดว่า เป็นสต๊าฟเก่าที่ออกไป เพราะมันรู้มุมกล้องดีมากครับ ก็ไปโรงพักอีกในฐานะผู้เสียหาย แต่แจ้งความไว้ก็เท่านั้นครับ หายเข้ากลีบเมฆ เป็นบทเรียนบทที่ 2 คือ "อย่าประมาทกับทรัพย์สิน แม้แต่คลาดสายตาก็สูญหายได้"

3. น้องสต๊าฟผมคนนึง มีรถมอเตอร์ไซต์คันสวย Yamaha Fino แถมแต่งซะสวยเชียว ขับมาทำงาน เข้ากะตอนเช้าออกตอน 4ทุ่มทุกวัน และรู้ว่า รถมอเตอร์ไซต์ผมหาย ดังนั้นเวลาเขาจะจอดมอเตอร์ไซต์ ก็จะจอดตรงกลางหน้าร้าน ให้กล้องวงจรปิดจับภาพชัดๆ เวลานั่งทำงานจะได้สังเกตรถตัวเองได้ตลอดเวลาผ่านจอภาพ เป็นคนที่ไม่ประมาทอย่างมาก เพราะคงคิดว่า รถตัวเองสวยขนาดนี้ จอดหน้าร้านทุกวัน คงเป็นที่หมายปองของบรรดามิจฉาชีพที่พยามฉวยโอกาสที่เขาพลาด หรือเผลอสักวัน จนในที่สุด........วันนั้นก็มาถึง เจ้าน้องคนนี้ ขับรถกลับบ้านไปเอาของกิน มาของก็เลยพะรุงพะรัง พอลงจากรถมอเตอร์ไซต์ ก็เลยมัวแต่หิ้วของ จนลืมเอากูญแจออกจากรถ เสียบคาไว้อย่างนั้น ผมเช็คดูจากกล้องวงจรปิดเห็นว่า ลืมไว้ประมาณ 1ทุ่ม สัก 2ทุ่มก็มีเด็กแว็นท์ขี่มอเตอร์ไซต์มาวนเวียนหน้าร้าน แล้วก็คงเห็นว่า Finoคันสวยคันนี้มีกุญแจเสียบคาอยู่ "หวานโจร"หละ...หลังจากด่อมๆมองๆ ไอ้แว้นท์คนซ้อนท้ายก็เดินลงมาผ่านหน้าร้านไปมาสองสามรอบเพื่อให้แน่ใจว่า รถไม่มีล๊อคล้ออย่างอื่นอยู่ พอสบโอกาส มันก็จัดการขึ้นคร่อม แล้วเข็นออกไปสต๊าทที่ข้างร้านแล้วก็..............หายไปกับโจรครับ กว่าไอ้น้องเจ้าของรถจะรู้ตัว ก็อีกประมาณ ชั่วโมง ตอนแรกไม่เห็นมอเตอร์ไซต์ก็นึกว่าเพื่อนยืมขี่ไป พอถามก็ไม่ใช่ สรุปมาดูกล้องวงจรปิด โจรเอาไปนี่เอง............เศร้าไปตามระเบียบครับ.......หุหุ ผมก็ไปโรงพักเป็นเพื่อนแจ้งความให้มัน สงสาร แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง ผมมีบทเรียนมาแล้วอะ เข็ด แต่มันดันลืมกุญแจเอง ช่วยไม่ได้ เสร็จโจรครับ บทเรียนที่ 3 สอนไว้ว่า "แม้จะระวังแล้ว แต่ถ้าเผลอครั้งเดียว โจรก็ยิ้ม"

4. น้องชายของแฟนผม ทำธุรกิจรับซื้อ-ขาย-จำนำมอเตอร์ไซต์ ก็จะมีรถมอเตอร์ไซต์วนเวียนเข้าออกร้านเยอะมาก แต่ก่อนก็จะจอดหน้าร้านนั่นแหละ ก็จะเป็นที่ต้องตา ต้องใจโจรมาก หลังจากทราบข่าวว่า รถมอเตอร์ไซต์หายไป 2คันแล้วจากหน้าร้านผม (ชุมทางโจร ก็ว่าได้) เจ้าน้องคนนี้ก็ตั้งใจว่าของมันจะต้องไม่เป็น"เหยื่อรายต่อไป" ก็จัดแจงหาโซ่ หากุญแจมาล๊อคล้อทุกคัน.....ซึ่งดูแล้ว "เหมือน"จะปลอดภัยมาก แต่ขอโทษครับ โจรมันมักจะ"ก้าวหน้า"ไปกว่าเราเสมอ รู้ไหมครับมันทำยังไง... บังเอิญน้องชายได้ซื้อรถYamaha Fino มาใหม่คันนึง สภาพกิ๊กๆ มาจอดหน้าร้าน ก็จัดแจงLockโซ่อย่างดิบดี พอตื่นมาตอนเช้าปรากฎว่า.......ไฟหน้าเจ้าFino มันหายไปทั้งชุด....มาดูกล้องจึงเห็นว่าโดนโจรเอาไขควงแงะไปใช้เวลา 5วินาทีเท่านั้นครับ ดูมันทำ! รถเอาไปไม่ได้ ก็ยังงัดเอาไฟหน้าไป สรุปว่า ไฟหน้า ต้องไปซื้อใหม่ราคา 700บาท แต่ถ้าโจรงัดเอาไปขาย เขาก็รับซื้อราคาประมาณ 3-4ร้อยบาท มันก็ยังเอานะ..... อันนี้ไม่รู้จะช่วยยังไง แต่ก็ถือว่ายังดีที่ไม่หายไปทั้งคัน.... หลังจากนั้น ผมเห็นใจครับ จึงลงทุนทำทางลาดสำหรับมอเตอร์ไซต์ขึ้นมาจอดบนบ้าน และไปจอดข้างหลังบ้านได้ เพราะเราได้บทเรียนที่ 4 ว่า "แม้คิดว่าปลอดภัยแล้ว แต่ทุกอย่างมักมีช่องโหว่เสมอ" ฮ่าๆ

5. เหตุการณ์ล่าสุด ทำให้ผมวุ่นวายจนแทบไม่ได้อัพเดทBlog เลยก็คือ พนักงานคุมร้านที่เพิ่งรับมาฝึกงานใหม่ ขโมยเงินไปหมดเกลี้ยงลิ้นชัก ทั้งที่มาทำได้แค่ 3ชั่วโมงเท่านั้น ทั้งๆที่รู้ว่ามีกล้องวงจรปิดอยู่ก็ยังกล้าทำ ถือว่าอุกอาจมาก เรื่องของเรื่องคือ ผมต้องการพนักงานช่วยคุมร้านเฉพาะวันเสาร์และอาทิตย์ตอนกลางวัน เจ้าน้องชายของแฟนผมก็ดันไปลงประกาศหางานในอินเทอร์เน็ต ซึ่งอันนี้ผมไม่รู้ วันหนึ่งมีคนโทรมาขอสมัครงานชื่อว่า "นัด" ผมก็ดันเป็นคนที่ใจดี ให้โอกาสคน ทั้งๆที่ปกติแล้ว ผมจะไม่รับพนักงานจากข้างนอกที่ไม่รู้จักเลยครับ แต่ไหนๆโทรมา ผมก็ไม่ได้คิดอะไรบอกว่าให้เอาเอกสารคือสำเนาบัตรประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านมา แล้วให้เดินทางมาที่ร้าน ผมจะสัมภาษณ์เอง ให้หลังสามวัน เขาก็มาพร้อมเอกสารครบครับ ผมเห็นว่ามีเอกสารที่เชื่อถือได้ ถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็ยังแจ้งความได้ แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่า จะโดนยกเค้าเงินในลิ้นชักไปจนหมด คิดไม่ถึงจริงๆ
พอสัมภาษณ์เสร็จ ก็นัดให้มาทดลองงานอีกสัปดาห์หนึ่ง ซึ่งพอถึงเวลา เช้าวันเสาร์ที่ 13มิถุนายน2008 "นัด" ก็เดินทางมาเข้างาน โดยมีสต๊าฟประจำของร้านสอนงานให้ และพอตอนเที่ยงผมก็ลงมาคุยและสอนงานให้อีกครั้งหนึ่งโดยไม่ได้เอะใจ เนื่องจากเมื่อคืนผมนอนดึกพักผ่อนน้อยก็เลยขึ้นไปพักผ่อนอีก ปล่อยให้ "นัด"มันอยู่คนเดียวกับเงินในลิ้นชักประมาณ 2พันกว่าบาท พอสักประมาณเกือบบ่าย 3โมง เด็กที่เล่นเกมส์ประจำที่ร้านผมก็โทรมาด้วยเสียงตกใจว่า "พี่เกี๊ยง เด็กพี่มันขโมยเงินไปหมดเกะแล้ว" ผมรู้เลยว่า "งานเข้า"หละครับ รีบลงมา แล้วเปิดกล้องวงจรปิด เห็นพฤติกรรมที่ทำอย่างเจ็บแสบมาก แต่ก็ไม่ได้ตามเพราะคิดว่าคงขึ้นแท็กซี่ไปไกลแล้ว ผมก็เลยไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ และนำหลักฐานภาพกล้องวงจรปิด เอกสารสำเนาบัตรประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้าน เพื่อให้ตำรวจออกหมายจับต่อไป

แต่เหตุการณ์นี้ ผมก็ยัง"ขอบคุณพระเจ้า" ที่
1. ไม่เสียเงินจำนวนมากกว่านี้ แค่ 2,500บาทถือว่าไม่มาก แต่ก็ไม่ใช่น้อย เป็นบทเรียนที่มีราคาสำหรับผมในการรับพนักงาน หรือจะไว้วางใจใครก็ตาม
2. คนร้ายไม่ได้อยู่ไปและแอบยักยอกเงินทีละนิดทีละหน่อย หรือทำให้ผมตายใจ และยกเค้าที่เดียวจำนวนเงินเป็นหมื่น
3. คนร้ายไม่ได้พาพรรคพวก เข้ามาปล้นผมในเวลากลางคืน เพราะว่าจะนอนพักที่ร้านผมด้วย สามารถลงมาเปิดประตูเพื่อขี้นบนบ้านผมได้

จากที่เล่ามาทั้งหมด ผมรู้สึกว่า ทุกวันนี้เป็น "กาลที่ชั่ว" ตามที่พระคัมภีร์ "เหตุฉะนั้นท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา จงฉวยโอกาส เพราะว่าทุกวันนี้เป็นกาลที่ชั่ว" เอเฟซัสบทที่5:15-16 คริสเตียนอย่างเราต้องดำเนินชีวิตอย่างรอบคอบ และมีปัญญาจริงๆครับ โดยพึ่งพาพระเจ้าในการทรงนำทุกวัน....

ปล. ผมได้ติดต่อกับรายการ"เรื่องจริงผ่านจอ" เพื่อส่งภาพกล้องวงจรปิดทั้งหมดให้กับรายการ นำไปออกอากาศเพื่อให้เป็นอุทาหรณ์กับคนอื่นๆต่อไปครับ ทางรายการจะมาสัมภาษณ์ผมเร็วๆนี้ครับ

ล่าสุดตามจับตัวได้แล้วครับ

เรื่องของเรื่องคือ เมื่อหัวค่ำวันเสาร์ที่ 11กค.2552ที่ผ่านมาขณะที่ผมอยู่ที่สมุยไปพักผ่อนกับภ รรยา ผมได้รับโทรศัพท์จากผู้หญิงคนหนึ่งแนะนำว่า เขาเป็นเจ้าของร้านอินเทอร์เน็ตแถวๆบางขุนเทียน พอดีมีคนที่ชื่อ "อรุณ เนินฆ้อ"มาสมัครงาน ก็เอะใจหลังจากที่ให้เขียนใบสมัครทิ้งไว้ ก็เข้ามาSearchในบอร์ดของinternetcafe.in.th เพราะคุ้นๆชื่อเหมือนเคยอ่านผ่านกระทู้ของผมที่ลงไว้ ก็พอดีเจอ และมั่นใจว่า คนนี้คือคนร้ายจริงที่ตระเวณสมัครงานร้านเน็ตและลักท รัพย์มาหลายที่แล้ว มีคดีติดตัวอยู่หลาย สน. ท่านก็่น่ารักมากครับที่โทรมาแจ้งเบาะแสผม ผมก็เลยแนะนำไปว่า ช่วยประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่เลยว่าให้วางแผ นจับกุมตัว แล้วก็ล่อให้กลับมาทำงานในวันจันทร์ แล้วก็ตระครุบตัวเลย ส่วนผมจะกลับไปถึงกรุงเทพวัน่จันทร์ตอนเช้ามืด

เสร็จแล้ว ผมก็รีบโทรหาคุณธีรพลที่ก็โดนไอ้อรุณ เนินฆ้อขโมยเงินหลังจากผม2สัปดาห์ ว่าได้เบาะแสคนร้ายแล้ว

พอวันจันทร์มาถึง ทางพี่ผู้หญิงเจ้าของร้านก็ได้นัดหมายให้อรุณ เนินฆ้อ มาที่ร้าน แต่ตอนแรกว่าจะมาตอนเช้า พอจริงๆก็เลื่อนไม่ยอมมา ท่านก็คิดว่าสงสัยไหวตัวหรือเปล่า แต่ในที่สุดตอนบ่ายเจ้าอรุณก็ติดต่อกลับมาบอกว่าจะมา ถึงตอน 5โมงเย็น พี่ผู้หญิงก็โทรบอกผมครับ ตอนนั้นผมทำงานอยู่ที่officeในกรุงเทพแล้ว ก็ภาวนาขอให้อรุณมันโดนจับจริงๆ

ตอน 5โมงเย็น จากคำให้การ เจ้าอรุณมันก็มาจริงๆ พอมาพี่ผู้หญิงก็ให้นั่งทำงาน แล้วก็โทรไปส่งซิกบอกตำรวจที่สน.ท่าข้ามให้เข้ามาจับ กุมตัว พอจับกุมตัวได้ก็รีบโทรบอกผมด้วยเสียงตื่นเต้นว่า "คุณเกี๊ยง เราจับตัวอรุณได้แล้วรีบมาเลยค่ะ" ผมก็รีบกระโดดออกจากโต๊ะทำงานทันที แจ้นไปสน.ท่าข้าม อยู่นู้น ถนนทางไปทะเลบางขุนเทียน ไปก็เจอไอ้คุณอรุณ นั่งคอตกดังภาพครับ
กด linkตามไปดูรูปเลยครับ
http://picasaweb.google.co.th/gueeng...eat=directlink

แก้ไขแล้วครับ กด link ไปดูรูปได้เลยครับ เดี๋ยวผมมีคลิปวีดีโอให้ดุกันครับใจเย็นๆ

มาเล่าต่อนะครับ ผมไปหลังจาก ที่มันถูกจับกุมตัวแล้ว โดยมีคุณธีรพลเจ้าทุกข์อีกคนนึงที่ไปถึงก่อนหน้าผมพร ้อมกับพ่อแม่และพี่ เห็นสภาพของไอ้อรุณแล้ว สมเพศมันมากกว่าครับ ทางฝ่ายคุณแม่ของคุณธีรพลแค้นมาก จะเข้าไปกระทืบมันด้วยซ้ำ

ส่วนผมเองก็เดินไปหามันแล้วบอกมันว่า "ไงคนเก่ง เงยหน้ามาคุยหน่อยสิ จำได้หรือเปล่า พี่เกี๊ยงร้านที่ซอยอุดมสุขไง"

มันก็ก้มหน้าไม่กล้ามองผม

ผมก็บอกมันว่า "จำได้ไหมที่ SMS ไปวันที่เอ็งขโมยให้หลังมึงประมาณ 1ชม.ว่า "ทำอย่างนี้หนีไปได้ไม่นานหรอก"
ลูกผุ้ชาย กล้าทำก็กล้ารับสิ ร้องไห้ทำไม ตอนทำไม่คิด เอ็งรู้ไหมว่า เอ็งทำเขามาแล้วกี่ที่ สิบกว่าที่ สิบกว่ากระทง กระทงละ3ปี เอ็งเจอแน่ๆ 30ปี"

มันก็เงียบก้มหน้าร้องไห้ ไม่กล้ามองหน้าผม

ผมก็รอทางตำรวจ สน.ชนะสงครามมาอาจัดตัวมัน เพราะทางสน.นั้นออกหมายจับแล้ว แต่สน.บางนาของผมยังไม่ออกหมายจับเพราะเรื่องเกินประ มาณ 1เดือนพอดี(ของผมเกิดเรื่องวันที่ 13มิย.52)

พฤติกรรมของคนร้ายก็คือ ทำงานเป็นทีม ร่วมกับเพื่อนอีก 1-2คน ออกสมัครงานตามร้านเน็ตที่ไม่ต้องใช้เงินค้ำประกัน และเมื่อเข้ามาทำงาน ก็จะสังเกตร้านดูลาดเลาประมาณ2-3ชม. ก็จะนัดให้เพื่อนมาเจอบริเวณร้าน แล้วขโมยเงินหลบหนีออกไป บางรายที่โชคร้ายก็เจอยกคอมไปด้วยอย่างของคุณธีรพล

คนร้ายคนนี้มีหมายจับของสน.ต่างๆรวม 7หมาย และที่ยังไม่ออกหมายจับอีก3หมาย(เท่าที่ทราบ) แต่อาจจะตระเวณก่อคดีมามากกว่านั้นแต่เจ้าทุกข์ไม่แจ้งความเอาเอง

ตอนนี้คดีอยู่ที่ชั้นศาลแล้วครับ นายอรุณโดนออกหมายจับคดีอาญาตั้งแต่ปี 50 หนีมากระทำผิดจนปี 52 สุดยอดเลวเลยนายคนนี้ แต่ทำไมไม่มีใครมาโพสถ์บอกกันมั่งจะได้ระวังภัยสังคม

ยังไงก็ต้องขอขอบคุณพี่ผู้หญิงที่สน.ท่าข้าม บางขุนเทียน(ขอปิดชื่อนะครับ) ที่น่ารักมาก ช่วยจับโจรคนนี้ ถือว่ากล้าหาญมากครับ ถ้าเป็นคนที่เห็นแก่ตัวก็จะไม่อยากยุ่ง แค่ไม่รับคนนี้มาทำงานแล้วก็ไล่ๆไปที่อื่น เขาก็จะตระเวณทำอย่างนี้ที่อื่นไปเรื่อยๆครับ จะต้องมีคนเสียหายเพิ่มมากกว่านี้แน่นอน

ภาพคลิ๊ปวีดีโอ นายอรุณ เนินฆ้อ ถูกจับที่สน.ท่าข้าม ตำรวจล้อมหน้าล้อมหลังเยอะมากเพราะหนีคดีมา