วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ธุรกิจขายตรง...กับคริสเตียน









จากประสบการณ์โดยตรงก็ดี ประสบการณ์จากเพื่อนฝูง ไปจนถึงอาจารย์ที่โบสถ์ก็ดีเกี่ยวกับเรื่อง "ธุรกิจขายตรง" ที่เข้ามาในคริสตจักรตั้งแต่ในสมัยเมื่อสิบปีก่อน จนปัจจุบันก็ยังมีมากกว่าเดิมเสียอีก ผมเชื่อว่าเกือบทุกคริสตจักรจะต้องเคยเผชิญ หรือกำลังเผชิญกับสิ่งนี้อยู่ ซึ่งคริสเตียนอาจจะปฏิกริยาตอบสนองหลายแบบแตกต่างกันไป ทั้งเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ต่อต้าน หรือเข้าร่วมมันซะเลย ผมเลยจะมาพูดถึงเรื่องนี้ให้ฟังครับ

ธุรกิจขายตรง ตามความหมายก็คือ  การทำตลาดสินค้าหรือบริการในลักษณะของการนำเสนอขายต่อผู้บริโภคโดยตรง ณ ที่อยู่อาศัยหรือสถานที่ทำงานของผู้บริโภคหรือของผู้อื่น หรือสถานที่อื่นที่มิใช่สถานที่ประกอบการค้าเป็นปกติธุระ โดยผ่านตัวแทนขายตรงหรือผู้จำหน่ายอิสระชั้นเดียวหรือหลายชั้น โดยแบ่งออกเป็น 2ประเภทคือ


1. ขายตรงแบบชั้นเดียว ก็คือ การขายผ่านตัวแทนจำหน่ายต่อผู้บริโภคโดยตรง ได้รับผลกำไรจากการขายปลีกให้กับลูกค้าเพียงชั้นเดียวเท่านั้น
2. ธุรกิจขายตรงแบบหลายชั้น (Multi- Level Marketing หรือ MLM) เป็นการขายต่อๆกันเป็นเครือข่ายหลายชั้น ผู้ขายเป็นนักขายอิสระ ไม่ใช่ลูกจ้างของบริษัท มีหลายแบบได้แก่ แบบไบนารี่ แบบยูนิเลเวล แบบไตรเซ็บ แบบเมตริกซ์ โดยนักขายสามารถสร้างรายได้จากการทำงาน 2 วิธีรวมกัน คือ

  1. ผลกำไรจากการขายปลีก ซึ่งเป็นผลต่างระหว่างต้นทุนสินค้าที่ซื้อมาจากบริษัทกับราคาขายปลีกที่ได้ขายสินค้าหรือบริการให้กับผู้บริโภค
  2. คอมมิชชั่นหรือส่วนลดตามระดับยอดขายของสินค้าหรือบริการที่มีการสั่งซื้อ (เพื่อบริโภคหรือเพื่อขายให้กับผู้ขายคนอื่นต่อๆไป) จากผู้ขายที่ได้ชักชวนเข้ามาสมัครร่วมธุรกิจในทีมขาย หรือที่เรียกว่า "สปอนเซอร์" ในระดับเป็นชั้นต่อๆไป
          จะเห็นได้ว่า หลักการของระบบการตลาดหลายชั้นคือ การที่นักขายได้รับผลตอบแทนทั้งจากที่ตนเองขายปลีก และผลตอบแทนจากการขายซึ่งเกิดขึ้นเมื่อนักขายในกลุ่มของตนชวนมาร่วมกันขาย จนมียอดขายรวมเป็นก้อนใหญ่ จากปัจจัยดังกล่าวทำให้เกิดโอกาสในการสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องและไม่มีขีดจำกัด ซึ่งเกิดจากการสปอนเซอร์หรือชักชวนผู้อื่นมาเข้าร่วมธุรกิจอันทำให้ระบบการตลาดหลายชั้นเป็นระบบที่มีศักยภาพสูงสุดในธุรกิจขายตรงปัจจุบัน(อ้างอิงจาก http://th.wikipedia.org/wiki/ธุรกิจขายตรง)
     แล้วธุรกิจขายตรงมาเกี่ยวข้องในชีวิตคริสเตียนของเราได้อย่างไร ผมจะบอกว่าเกี่ยวอย่างมากครับ เพราะถ้าดูจากรูปแบบระบบขายตรงหลายชั้นแล้ว มันก็คือระบบเครือข่ายที่มีการหาสมาชิกต่อไปเรื่อยๆ มีการรวมกลุ่มย่อย เพื่อสร้างเสริมกำลังใจ เสริมวิธีการขาย ถ่ายทอดประสบการณ์ ซึ่งดูแล้ว เหมือนกับระบบการประกาศฯ ระบบกลุ่มเซลของคริสเตียนเลยครับ แต่ต่างกันตรงธุรกิจขายตรงมีวัตถุประสงค์คือผลประโยชน์ร่วมกันในเรื่องของรายได้เป็นหลัก(บางคนอาจจะบอกว่าเกิดจากความรักเมตตา ให้ผู้ร่วมเครือข่ายมีชีวิตที่ดีขึ้นก็ตาม) แต่คริสเตียนสิ่งที่ได้คือชีวิตที่ดีขึ้นของผู้เชื่อใหม่ และพระพรสำหรับผู้ประกาศเลี้ยงดู โดยไม่มีรายได้หรือผลประโยชน์อย่างอื่นมาเกี่ยวข้อง
     จากที่ผมอธิบายมานี้ จะดูแล้วรู้เลยว่า รูปแบบมัน "ใกล้เคียง"กันมากครับ ทั้งวิธีการ ไปจนผลประโยชน์หรือจุดมุ่งหมาย ซึ่งสิ่งนี้ทำให้"ธุรกิจขายตรง"เข้ามาสู่กลุ่มคริสเตียนในคริสตจักรได้อย่างง่ายดาย เนื่องจาก มีความคล้ายในวิธีการซึ่งคริสเตียนคุ้นเคยอยู่แล้ว(การหาสมาชิกใหม่เพิ่ม) รวมไปถึงลักษณะการชักชวนที่จะนำเอาวัตถุประสงค์ หรือจุดมุ่งหมายที่ตรงกันก็คือ 

  1. เพื่อมีรายได้พอเพียงหาเลี้ยงชีพตนเอง
  2. เพื่อจะได้มีเวลาไปรับใช้พระเจ้ามากขึ้น กว่าการทำงานประจำเดิมๆ
  3. เป็นการดีที่ได้แนะนำให้เพื่อน หรือคนรู้จักได้ใช้สินค้าดีๆ
  4. เป็นการช่วยให้เพื่อน หรือคนรุ้จักได้มีธุรกิจ มีรายได้หาเลี้ยงชีพตนเอง และอื่นๆตามข้อ 1-3 ที่กล่าวมา

     กลุ่มคริสเตียนคริสตจักรต่างๆจึงกลายเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ "ทรงพลัง" และ "น่าลงทุน" มากที่สุดสำหรับธุรกิจขายตรง เพราะเป็นกลุ่มคนที่เจอกันอยู่ทุกสัปดาห์ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน เหมาะกับการชักชวนให้ลงทุน และเข้ามาร่วมทำธุรกิจนี้ รวมไปถึงเป็นการง่ายที่จะแนะนำ ขายสินค้ากับกลุ่ม เพราะพอคนนึงใช้ อีกคนก็จะมีโอกาสซื้อไปใช้ด้วยได้ง่ายมาก
     บุคคลที่ผมเคารพรักหลายท่านเป็นผู้รับใช้อยุ่ในคริสตจักร ในแต่ละปีผมจะเห็นท่านเหล่านี้ซื้อหรือใช้สินค้าจากกลุ่มธุรกิจขายตรงเยอะมาก อาทิเช่น อาหารเสริมต่างๆ เครื่องกรองน้ำ สินค้าอุปโภค บริโภค ยาสีฟัน น้ำหอม เครื่องสำอางค์ ขนมขบเคี้ยว หมอน ยันข้าวสาร หลายท่านซื้อเพราะเกรงใจสมาชิกที่นำมาเสนอขาย แต่ก็มีบางท่านที่คิด และหวังว่าจะเข้าร่วมธุรกิจขายตรงเหล่านี้แล้ว จะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ตอบสนองความต้องการตามข้อที่ 1-4 ตามที่ผมได้กล่าวไว้ข้างต้น
     ผมไม่ได้ต่อต้านธุรกิจขายตรงครับ เพราะก็เห็นคนที่ผมรู้จักหลายท่านในคริสตจักรก็ไปได้ดีกับธุรกิจนี้ แต่ก็ต้องแลกมากับการทำงานหนักทั้งงานหลัก และงานขายตรง ซึ่งผมยังไม่เคยเห็นท่านไหน มีเวลารับใช้พระเจ้ามากขึ้นเลยครับ สิ่งที่ทำให้นำมาคิดในคอลัมภ์นี้ก็คือ คริสเตียนควรจะตอบสนองกับธุรกิจขายตรงอย่างไรดีครับ ถ้ามีคนมาชักชวนในคริสตจักร และบางคนก็เป็นพี่น้องที่เป็นที่รักของท่าน ผมขอเสนอเป็นแนวทางจากประสบการณ์ส่วนตัวที่คิดว่าใช้ได้ผลครับ เพราะบางท่านก็หวังดีจริงๆ (แต่บางครั้งเราก็ไม่ต้องการ) สินค้าบางตัวดีจริง แต่ก็มีอีกเยอะที่เป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือหลอกลวงมา เน้นหาเครือข่ายก็เยอะ

  1. ถ้าคุณมีเวลาในการพูดคุย ก็ให้ทางผู้แนะนำธุรกิจขายตรงท่านนั้นพูดคุยเต็มที่ แนะนำสินค้าเต็มที่เลยครับ แต่ผมจะแนะนำให้คุณโฟกัสไปยังสินค้าที่เขาขายเป็นหลัก พยายามถามข้อมูลสินค้าให้ดี ครบถ้วนครับ ถ้าเป็นพวกอาหารเสริม ก็ควรจะมี อย. ก็จะดีที่สุด เครื่องใช้อุปโภคทั่วไป ถ้ามี มอก.ก็จะช่วยให้มั่นใจในคุณภาพได้ครับ ที่ผมแนะนำในฟังในตัวสินค้าให้มาก ไม่เน้นในเรื่องรายได้ก็เพราะ ธุรกิจขายตรงทั้งสิ้นในโลกนี้ ต้องมีพื้นฐานมาจากสินค้าที่ดี มีคุณภาพ เป็นความแข็งแกร่งในเบื้องต้นครับ ถ้าสินค้าไม่ดีแล้ว อย่างอื่นไม่ต้องไปคิดเลยครับ....ธุรกิจ และรายได้มันจะไปต่อไม่ได้แน่นอน รวมไปถึงคุณจะเสียเงินฟรีในของที่ไม่มีคุณค่า หรือคุณภาพด้วย
  2. ถามตัวคุณเองหรือครอบครัวของคุณว่า ถ้าซื้อสินค้านั้นมาแล้ว คุณจะได้ใช้หรือไม่ และใช้แล้วคุ้มค่ากับราคาที่ท่านจ่ายไปหรือเปล่า อย่าซื้อเพราะเห็นว่ามันดีเท่านั้น เพราะถ้าซื้อแล้วไม่ได้ใช้ ก็เหมือนท่านเอาเงินบริจาคการกุศลให้ผู้ขายสินค้าไปเปล่าๆครับ และอย่าซื้อเพราะตัดรำคาญ โดยส่วนใหญ่แล้วเมื่อท่านซื้อ ผู้ขายก็จะพยายามชักชวนท่านในการสมัครสมาชิกต่อ เสียเงินเพิ่มขึ้นสำหรับการซื้อสินค้าแล้วจะได้รับส่วนลด ฯลฯ ท่านจะมีเรื่องเสียเงินตามมาอีกแน่นอน ผมแนะนำว่าถ้าท่านจะไม่ซื้อ ต้องใจแข็งปฏิเสธไปครับ เป็นผลดีต่อตัวคุณ และต่อผู้ขายด้วยครับ ไม่ต้องคิดว่าผู้ขายอุตส่าห์เสียเวลาเล่าสรรพคุณสินค้าตั้งนาน คุณต้องคิดว่าเป็นสิ่งที่เขาต้องลงทุน ลงแรงในการเสนอขายอยู่แล้วครับ คุณได้เปิดโอกาสให้กับเขาแล้วไงครับ
  3. ถ้าคุณได้ตัดสินใจซื้อสินค้านั้นแล้ว ก็พิจารณาตามความเหมาะสมว่า การสมัครสมาชิกนั้น เงินค่าสมัครที่จ่ายเพิ่มขึ้น กับส่วนลดที่ได้ คุ้มค่ากันไหมครับ จากการที่คุณจะมีโอกาสในการใช้สินค้านั้นซ้ำ2ในอนาคต แต่โดยส่วนใหญ่คุณจะถูกชักจูงร่วมด้วยว่า เมื่อคุณสมัครสมาชิกคุณก็จะมีสิทธิในการนำเสนอขายสินค้านั้นต่อกับคนที่คุณรู้จัก และได้รับผลกำไรเข้าบัญชีของคุณ เป็นทอดๆถ้าคุณสามารถทำเครือข่ายผู้ใช้ของคุณขึ้นมาได้ (ผมคงไม่ลงรายละเอียดในเรื่องนี้ เพราะมีเยอะมากและน่าปวดหัวครับ)

     แต่ว่าสิ่งนี้ ผมเรียกว่าเป็นการ "ขายฝัน" ซึ่งทุกคนก็มีสิทธิฝันครับไม่ได้ผิด เพียงแต่ว่า การไปถึงฝันนั้นไม่ใช่ทำได้ทุกคนครับ ยิ่งฝันการเป็นเจ้าของเครือข่ายธุรกิจขายตรงแล้ว เป็นสิ่งที่ยากครับสำหรับความคิดของผม และต้องแลกมากับการลงทุน ลงแรง ลงเวลาอย่างหนัก
     โดยประสบการณ์ส่วนตัวของผมหลังจากที่เคยลองเข้าไปคลุกคลีกับธุรกิจขายตรงอยู่พักใหญ่ เมื่อสมัยยังวัยรุ่นกับธุรกิจขายตรงAmway ผมพบว่า ตัวผมเปลี่ยนไปครับ และปฏิกริยาคนรอบข้างของผมเปลี่ยนไปด้วยดังนี้

  1. ผมมักฝันบ่อยๆว่า จะได้ผลกำไรจากการขาย และหาเครือข่ายDown Line ได้จนพอเลี้ยงดูตัวเอง และตอนนั้นจะมีเวลาไปรับใช้พระเจ้าเต็มที่
  2. ผมมักจะเห็นคนรอบข้างเป็นลูกค้า และDown Line ในเวลาเดียวกัน ทั้งพี่น้องคริสเตียนก็ดี หรือเพื่อนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้าก็ดี โดยมีความคิดในหัวว่า เรากำลังนำเสนอสิ่งดีๆเข้าไปให้กับชีวิตของเขา 
  3. เมื่อได้พูดคุย ผมก็จะพยายามเปิดโอกาสในการพูดถึงความดีของสินค้า และโอกาสทางรายได้จากธุรกิจนี้ เพื่อชักชวนให้ซื้อสินค้า หรือสมัครเป็นสมาชิก แทนที่จะได้พูดคุยถามไถ่หนุนใจในพระคำ หรือประกาศพระกิตติคุณพระเยซูคริสต์
  4. เพื่อนคนไหนที่ปกติผมจะไม่เคยคุย หรือไม่เคยโทรติดต่อเลยก็มักจะได้รับโอกาสพูดคุยกับผมโดยแปลกประหลาดใจว่า ทั้งปีทั้งชาติ ไม่เคยเลยที่ผมจะโผล่ไปให้เห็น
  5. หลังจากนั้นผ่านไปไม่นาน ผมพบว่าเพื่อนฝูง และคนรอบข้าง มักจะหาทางเลี่ยงในการพูดคุยกับผม หรืออย่างแย่ คนเหล่านั้นก็จะบอกว่า "ยังไม่ซื้อ"

     เหตุการณ์นั้นผ่านไปนานแล้วครับ พอผมผ่านมาก็ได้กลับมาคิดมองตัวเองย้อนกลับไป พบว่ามีหลายคนที่กำลังตกอยู่ในสภาพเดียวกับผม ผมไม่เถียงครับว่ามีคริสเตียนดีๆอีกหลายท่านที่ทำธุรกิจขายตรงและไม่ได้เป็นอย่างผม แต่สิ่งนี้ ก็ต้องเป็นสิ่งที่คริสเตียนทุกคนต้องพิจารณาให้ดีครับ อย่าให้คำว่า"รายได้" และ"กำไร" มาแทนที่คำว่า "ความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข" ที่พระเยซูได้สอนเราไว้ครับ
     ผมพบว่ามีคริสตจักรหลายแห่งกำลังประสบปัญหาสมาชิกมาขายตรงกับสมาชิกในคริสตจักร สินค้ามากมาย บางท่านไม่มีเงินก็ให้ผ่อนกันได้ จนเกิดปัญหาทางการเงิน ตามทวงหนี้กัน สินค้าบางตัวบอกว่าให้ทดลองใช้ แต่คนลองใช้นึกว่าฟรึ ตอนหลังจะมาเก็บเงินก็เกิดการทะเลาะกัน สินค้าก็ไม่ได้มีคุณภาพ และสรรพคุณตามที่โฆษณาไว้ เกิดความวุ่นวายกันในคริสตจักร จนบางโบสถ์เป็นเรื่องใหญ่ลุกเป็นไฟก็เจอมาแล้ว
     ถ้าท่านรู้สึกว่า "ธุรกิจขายตรง" ทำให้ "ความรัก"ของท่านที่มีต่อคนรอบข้าง "เยือกเย็น"ลง ผมว่าอันตรายแล้วครับ อย่างไรเสีย ปัจจุบัน ผมเลือกใช้คำว่า "การให้ เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ"(กจ.20:35) เป็นหลักในการดำเนินชีวิตคริสเตียน และตอบสนองต่อธุรกิจขายตรงที่เข้ามาในชีวิตของผมผ่านคริสตจักร ที่มักจะมีมากขึ้น และดูเหมือนจะรุนแรงขึ้นมากกว่าสมัยก่อนเสียอีก

วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ใครอยากอายุยืนบ้าง...ยกมือขึ้น

 

1 ในความปรารถนาของคนทุกยุคสมัย ทุกชนชั้นตั้งแต่ยาจกยันกษัตริย์ ก็คือ "การมีอายุยืนยาว" แม้จักรดิ์พรรดิ์จิ๋นซีฮ่องเต้ ผู้รวบรวมแผ่นดินจีนในอดีตเป็นหนึ่งเดียวก็ต้องดั้งด้นเพื่อหายา "อายุวัฒนะ"ให้ตนเองอยู่ครองความยิ่งใหญ่ไปตราบนานเท่านาน แต่แม้ท้ายสุดก็ต้องตาย โดยไม่ตายเปล่า กลับทำหลุมศพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกด้วยการปั้นหุ่นดินเผากองทัพไปรับใช้ตนเองในอีกภพหนึ่งด้วย(น่าเสียดายที่พระองค์ไม่รู้ว่า อีกภพนึงเป็นอย่างไร และมีอะไรรออยู่) ...ใช่ครับ แม้ในที่สุดแล้วทุกคนก็ต้องตาย ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว แต่ทุกคนก็ย่อมไม่อยากตายเร็ว หรือจากไปก่อนวัยอันควรทั้งนั้นใช่ไหมครับ?

โดยหลักการที่จะอายุยืนนั้น จะพบว่า ในทรรศนะของพระคัมภีร์ การมีอายุยืน ถือเป็นคำอวยพรที่มาจากพระเจ้า โดยผ่านการให้เกียรติบิดา-มารดา (อพย.20:12) , (อฟ.6:1-3)

แต่นอกเหนือจากนั้น ผมก็ยังเชื่อว่า การที่เราจะมีอายุยืน ก็อยู่ที่เราดูแลตนเองอย่างไรด้วยครับ โดยอย่างที่เราทราบอยู่ว่า ร่างกายของเราเป็น"พระวิหาร"ของพระเจ้า (1 โครินธ์ 3:16) ร่างกายนี้เป็นบ้านชั่วคราว พอเราจากโลกนี้ไปเราก็ต้องทิ้งร่างกายนี้กลับคืนสู่ดินอีกครั้ง ดังนั้น เราเสมือนเป็น "ผู้อารักขา" ร่างกายนี้ที่พระเจ้าให้มาครับ เราจะเป็นดั่งคนที่สัตย์ซื่อต่อร่างกายของเรานี้ไหม

ผมมักจะคิดอยู่เสมอว่า ร่างกายนี้ก็เหมือนรถยนต์ เป็นพาหนะที่ทำให้เราไปไหนมาไหนในโลกนี้ หรือภาษาพระคัมภีร์ที่ใช้ว่า "ไปดีมาดีในแผ่นดินโลก" ดังนั้น ร่างกายนี้ก็ต้องการดูแลรักษา ซ่อมแซมตามสิ่งที่ควรจะเป็น โดยเริ่มต้นที่

1. การรับประทานอาหารก็ถือเป็นส่วนหนึ่ง เหมือนการเติมเชื้อเพลิงให้กับรถ มีคำพูดหนึ่งที่บอกว่า "You are what you eat" คุณจะเป็นดั่งสิ่งที่คุณกิน ถ้ากินของดีต่อสุขภาพ โปรตีน ผัก ผลไม้สด ร่างกายของคุณก็จะดีไปด้วยครับ อย่างดาเนียลเป็นตัวอย่างครับ (ดาเนียล1)

2. การพักผ่อนที่เพียงพอ ร่างกายก็เหมือนรถ ที่ใช้งานก็ต้องมีหยุดพักครับ เวลาพักผ่อนที่เพียงพอต่อเราโดยเฉลี่ยจะอยู่ระหว่าง 6-8ชม.นะครับ ทุกคนมีวาระครับ สำหรับผมถ้าหัวถึงหมอนแล้วเรื่องอะไรที่กังวลใจ ผมจะมอบให้กับพระเยซู การนอนในที่นี้คือการหลับสนิท หรือหลับลึกครับ

3. การขับถ่ายที่ดี รถยนต์ยังต้องมีท่อไอเสียเลยครับ แต่ร่างกายของเรานั้นก็เหมือนกัน ทั้งนี้ รวมทั้ง 2อย่างคือถ่ายหนักและถ่ายเบาครับ โดยปกติคนเราควรจะถ่ายอุจจาระสม่ำเสมอครับ อย่าทิ้งไว้นาน เพราะจะเป็นที่มาของโรคท้องผูก และริดสีดวงทวาร ลามไปเรื่อยๆครับ การขับถ่าย ค่อนข้างเกี่ยวข้องสัมพันธ์โดยตรงกับสิ่งที่เรากินครับ ถ้าเรากินเนื้อสัตว์มากไป การถ่ายของเราจะค่อนข้างแข็งกว่าการกินเน้นที่ผัก และผลไม้อย่างเห็นได้ชัด ส่วนการปัสาวะ ก็เกี่ยวข้องกับการดื่มน้ำที่สะอาดเพียงพอ ถ่ายปัสาวะอย่างสม่ำเสมอ ไม่อั้นไว้นานเพราะจะกลายเป็นโรคกระเพาะปัสาวะอักเสบได้ครับ

4. การออกกำลังกาย ถ้ารถยนต์คันไหนจอดทิ้งเอาไว้เป็นระยะเวลานาน เกิน1สัปดาห์ ทางช่างจะแนะนำว่าต้องนำรถออกมาวิ่งวอร์ม หรืออย่างน้อยก็สตาร์ทอุ่นเครื่องเอาไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นก็จะส่งผลเสียต่อระบบในรถยนต์หลายๆอย่างครับ ร่างกายของเราก็เหมือนกัน คนที่รู้ดีก็คือ คนวัยทำงานอายุ 25ปีขึ้นไป แต่ก่อนสมัยเป็นวัยรุ่น วัยเรียน เราก็จะวิ่งเล่นใช้แรงค่อนข้างเยอะ สุขภาพก็จะสดชื่นไม่ค่อยเจ็บป่วยง่าย แต่พอเข้าวัยทำงาน ต้องนั่งเก้าอี้นานๆ กว่าจะเลิกงานกลับถึงบ้านก็หมดแรง วันอาทิตย์ก็ต้องไปโบสถ์อีก ไม่รู้จะหาเวลาไหนมาออกกำลังกาย เราจะรู้ตัวเองเลยว่าร่างกายไม่แข็งแรงและสดชื่นเหมือนสมัยเรียนหนังสือครับ

โดยตัวของผมก็เห็นได้ชัดว่า พอวัยแตะ 30ปั๊บ รอบเอวก็มาปุ๊บ มาโดยไม่ได้ขอ ไม่ได้ให้ตั้งตัว และก็ขึ้นพรวดๆ ยิ่งเผ่าพันธุ์ของผมเป็นประเภทไขมันสะสมบริเวณพุง และก้นเป็นหลัก ก็เลยทำให้กางเกงทุกตัวที่เคยใส่ได้ ต้องเก็บยาวครับ หาซื้อใหม่มาใส่เท่านั้น สร้างความลำบากให้กับคนที่ไม่ค่อยชอบซื้อเสื้อผ้าใหม่อย่างผม ตอนนี้ก็เลยจัดสรรเวลาให้กับตัวเองใหม่ ผมคิดอยู่แล้วว่าการออกกำลังกายถ้าจะไปวิ่งที่สวนสาธารณะ หรือต้องเสียเงินเข้าFitness(ซึ่งในอดีตเคยมาแล้ว) ไม่สามารถจัดเวลาไปได้แน่นอน เพราะข้ออ้างก็คือเหนื่อยแล้ว ไม่อยากเดินทางไปที่ไหนอีกนอกจาก "บ้าน" ก็เลยจัดการทำให้บ้าน กลายเป็นสถานที่ออกกำลังกายเสียเลย โดยจัดซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกายมาไว้ที่บ้าน ตามงบประมาณที่จำเป็น ซึ่งท้ายสุด นอกจากอุปกรณ์แล้ว เราจะต้องมีความคิด"แง่บวก" ในการออกกำลังกายให้ได้ครับ ไม่เช่นนั้น อุปกรณ์ทั้งหมด จะกลายเป็นราวตากผ้าราคาแพงไปทันที

5. สุดท้ายคือ อารมณ์ และจิตใจ ซึ่งมีคำพูดว่า "จิตใจเบิกบาน คือยาขนานเอก" พยายามมีทัศนะคติในแง่บวก พึ่งพาและฝากความหวังใจไว้ในพระเจ้าครับ คุณจะพบว่า พระเจ้าทรงมีทางออกในทุกปัญหาและทุกสถานะการณ์ การเฝ้าเดี่ยว และนมัสการพระเจ้าในแต่ละวันนั้น คือคำตอบเดียวที่จะทำให้เราพบความเบิกบานอย่างถาวร มากกว่าสิ่งใดครับ ผมเป็นคนที่ขี้เกียจในการเฝ้าเดี่ยวอย่างมาก(อาจจะเหมือนหลายๆคน) แต่ก็พบว่า ยามใดที่ผมได้ใช้เวลากับพระเจ้าส่วนตัว จิตใจและความสงบ เบิกบาน ก็เข้ามาแทนที่ในจิตใจตลอดทั้งวัน เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง สันติสุขของพระคริสต์จึงไม่เหมือนสันติสุขในโลกนี้ทั้งสิ้นครับ อารมณ์ และจิตใจที่ดี จะทำให้ร่างกายของคุณดีไปด้วยครับ

ขอให้คริสเตียนทุกท่าน ที่พวกเราได้ชื่อว่าทหารเอกของกองทัพพระเยซูคริสต์ มีร่างกายแข็งแรง จิตใจมั่นคง เพื่อให้ร่างกายของคุณที่พระเจ้าประทานไว้ให้ไปต่อสู้กับซาตานศัตรูของคุณได้

(ผมตั้งเป้า จะลดพุงจาก 34 ให้เหลือ 32นิ้วในเวลา 2เดือนให้ได้ครับ อาเมน)

วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สมรภูมิรบที่แท้จริงของคริสเตียน


จากเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง การมีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างกัน ก็เริ่มส่งผลทำให้มีความแตกแยกกันอย่างชัดเจนในสังคมเรา บางคนถึงกับขนาดในครอบครัวมีความคิดเห็นอยู่คนละสีกัน ก็ทำให้เกิดปัญหามาแล้ว ซึ่งปัญหานี้ก็ไม่ยกเว้น"คริสเตียน"อย่างเราๆท่านๆด้วย

บางท่านกลับชักศึกเข้าบ้าน ทำให้สมรภูมิเกิดขึ้นในครัวเรือนตนเองเสียด้วยซ้ำ รวมไปถึงชักศึกเข้าโบสถ์ไปนั่น ล่าสุดผมพบว่า พี่น้องคริสเตียนส่วนใหญ่จะมีสีเหลือง ไปจนถึงกลุ่มเสื้อหลากสีค่อนข้างเยอะ แต่ก็พบว่ามีบางส่วน บางท่านที่เป็นสีแดงชัดเจน เช่น อาจารย์ที่ผมเคารพท่านนึง เป็นนักฟื้นฟู ก่อตั้งคริสตจักร ประกาศอย่างร้อนรน ท่านถึงขนาดผูกผ้าสีแดงที่รถของท่านประกาศตัวอย่างชัดเจน อีกท่านนึงเป็นผู้รับใช้ระดับผู้จัดการในองค์กร สถาบันพระคริสตธรรมระดับนานาชาติ มีความเป็นผู้ใหญ่ และวุฒิภาวะคริสเตียนสูงคนนึง ก็แสดงตนอย่างเงียบๆว่าเป็นแนวร่วมของสีแดง

ทั้ง 2ท่านที่ผมยกตัวอย่างมานั้น ผมเลือกที่จะไม่ถาม หรือคุย ออกความเห็นทางการเมืองกับท่านทั้ง 2 รวมไปถึงการถามถึงสาเหตุที่ท่านเลือกอยู่ฝ่ายสีแดง เวลาเราพบกันเจอหน้ากัน ก็จะหนุนใจกันในพระคำ พระวจนะพระเจ้า ถามไถ่ถึงงานรับใช้ อธิษฐานเผื่อกัน แบ่งปันประสบการณ์ในงานรับใช้ ปรึกษาหารือกันด้วยความรักอย่างแท้จริง โดยการเลือกและมองข้ามเหตุผลทางการเมืองไปเสีย เราก็จะพบว่าเกิดความสงบสุขและความรักในจิตใจอย่างแท้จริงครับ

"เสรีภาพของการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองหมายถึง เรามีสิทธิเลือกที่จะแสดงความคิดเห็น รวมไปถึง งดแสดงความคิดเห็น ต่อใครก็ได้อย่างอิสระ" ดังนั้นควรเลือกคนที่จะแสดงความคิดเห็นนะครับ

แต่ถ้ามุมกลับกัน ถ้าเราหรือคริสเตียนบางท่านเลือกที่จะเข้าไปห้ำหั่นด้านความคิดเห็นทางการเมือง แบ่งสีกัน ต้องตามล่า ตามล้าง ผลที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นสิ่งที่ร้ายแรง รุนแรงจนถึงขนาด ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องที่ยาวนานมาหลายปี หรือถ้าเกิดในโบสถ์ในคริสตจักรแล้วหละก็ อาจถึงกับโบสถ์แตกได้ง่ายๆครับ

"ความคิดเห็นทางการเมืองก็เป็นเหมือนความเชื่อทางศาสนา มาเปลี่ยนแปลงกันโดยเถียงไม่ได้หรอกครับ"

ผมเสนอให้หันกลับมามองใหม่ครับ ว่า"สมรภูมิรบ" สงครามของพวกเราที่เป็นคริสเตียน แท้จริงแล้วอยู่ที่ไหน พระวจนะของพระเจ้าให้คำตอบไว้แล้วครับ


เอเฟซัส 6:12:
เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด   แต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง   ศักดิเทพ   เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้   ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ 

ดังนั้นสนามรบของเรา ไม่ใช่เนื้อ และเลือดบนโลกใบนี้ครับ แต่เป็นพวกซาตาน วิญญาณชั่วที่อยู่เบื้องหลังสิ่งที่เลวร้ายที่เกิดขึ้นต่างหากครับ ....ถ้าเช่นนั้นแล้ว เราจะเอาอะไรไปสู้ครับ .... ปืนผา หน้าไม้ ระเบิด มีด ขวาน ไปจนถึงการอาฆาตมาดร้าย ด่าทอกัน แช่งสาปกันนั้น เราจะเอาชนะซาตานได้หรือครับ???? คำตอบคือ ไม่ได้ แต่ถ้ายิ่งเราไม่รู้ตัว ไม่ได้สติ ไม่สงบในการใคร่ครวญให้ดี คนที่จะแพ้ก็คือพวกเรา"คริสเตียน"ทั้งหลาย ส่วนฝ่ายที่จะชนะคือ "ซาตาน"ครับ

ผมจึงอยากหนุนใจให้คริสเตียนที่กำลังตกอยู่ในความคิดที่จะตอบโต้กันด้วยความโกรธ เกลียด อาฆาต แช่งสาป ใคร่ครวญและคิดใหม่หลังจากได้อ่านคำทักท้วงของผมนะครับ

ผมคนนึงที่กลับใจใหม่ และสารภาพบาปแล้วเมื่อ3วันก่อนเขียนบทความนี้ครับ


(มีเรื่องราวเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นกับพี่น้องคริสเตียนเราใน FaceBook จากเหตุการณ์ความคิดเห็นทางการเมืองไม่ตรงกัน ท่านนึงสีเหลือง ท่านนึงสีแดง มีการส่งข้อความตอบโต้ระหว่างกันอย่างรุนแรง โดยที่ผมซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร ต้องเข้าไปรับทราบอย่างไม่ตั้งใจ เนื่องจาก การเขียนอะไรก็ตามในFaceBook ท่านอื่นๆที่เป็นFriend ด้วยนั้นจะทราบทุกๆข้อความที่เขียนครับ กลายเป็นอภิสงครามแช่งสาประหว่างคริสเตียนด้วยกันที่ดูแล้ว น่าสมเพศมากครับ โดยคนอ่านทั้งหมดเป็นทั้งคริสเตียนและไม่ใช่คริสเตียนกว่าพันคนได้)

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ความเชื่อ เริ่มต้นด้วยการอธิษฐาน มาร่วมกันในโลกไซเบอร์ผ่าน FaceBookสิครับ



ผมคงจะไม่ได้เล่าเหตุการณ์อะไรเกี่ยวกับการจลาจลของกลุ่มคนเสื้อแดงในช่วงระหว่างวันที่ 18-20 พค. 2010 ที่ผ่านมาเนื่องจากมีรายงานข่าวมากมายแล้ว และก็คงจะไม่ลงในเรื่องการเมืองเท่าใดนัก แต่ผมสนใจสิ่งหนึ่งที่พบเมื่อยาม "ยากลำบากด้วยกัน" ของกลุ่มคริสเตียนไทย ในอินเทอร์เน็ต

เคยมีคนพูด แสดงทรรศนะเอาไว้ว่า เหตุที่คริสเตียนในประเทศไทย ไม่ขยาย ไม่เติบโต แต่กลับอ่อนแอ เอาแต่ทะเลาะกัน แตกแยกกัน ก็เพราะว่า "เมืองไทยสบาย" หรือ "คริสเตียนไทยไม่ต้องถูกข่มเหง" ซึ่งในความเห็นของผมก็เห็นด้วยครับ ถ้าคุณเคยได้อ่านวรรณกรรมคริสเตียนเล่มนึงที่เป็นเรื่องของมิชชั่นนารีที่ทำงานประกาศ ตั้งคริสตจักรในประเทศคอมมิวนิสต์ หลังม่านเหล็กในยุค 50-80 จะรู้เลยว่า คริสเตียนเหล่านั้นที่ถูกข่มเหง เข้มแข็ง และรักพระเจ้ามากแค่ไหน

ขอบคุณพระเจ้าที่ช่วงปี2010 เกิดกลุ่มคริสเตียนที่สามารถรวมตัวกันในโลกอินเทอร์เน็ต โดยอาศัยเครื่องมือที่เรียกว่า Social Network ผ่านทางเว็บไซต์ FackBook ซึ่งทำให้การติดต่อสื่อสารผ่านทางโลกไซเบอร์นี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เห็นได้ชัดก็คือช่วงวิกฤติการณ์เผาบ้าน เผาเมืองของกลุ่มเสื้อแดง อันสร้างความตระหนกตกใจไปทั่วประเทศ แต่กลุ่มคริสเตียนที่แม้จะต่างสังกัด ต่างคริสตจักรกลับเข้ามาร่วมแรง ร่วมใจอธิษฐานพร้อมเพรียงกันผ่านทาง FaceBook ซึ่งท่านผู้อ่านสามารถเข้าไปชมคำอธิษฐานที่บันทึกได้ตาม Link ที่ผมได้ให้ไว้นี้ (แต่ต้องสมัครเป็นสมาชิกของ FaceBook แล้วนะครับ)

http://www.facebook.com/photo.php?pid=1156915&id=1050206052



ช่วงวันแรกกลุ่มที่มาอธิษฐานยังมีไม่เยอะมาก แต่พอเข้าวันที่ 2 ก็มีการบอกต่อๆกัน ส่งต่อๆกันไป จนกลายเป็นกลุ่มอธิษฐานในอินเทอร์เน็ตที่ผมเชื่อว่า ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ในกลุ่มคริสเตียนไทย โดยส่วนตัวของผมเองรู้สึกเลยว่า การอธิษฐานรูปแบบนี้ ไม่แตกต่างจากการไปรวมตัวอธิษฐานในที่เดียวกัน ที่ใดที่หนึ่งเลย แต่ละคนมีการเสนอหัวข้ออธิษฐาน และช่วยกันตามข่าว เช่น มีข่าวว่า ธนาคารกรุงเทพสาขาสะพานเหลืองซึ่งอยู่ใกล้ๆกับคริสตจักรสะพานเหลืองถูกวางเพลิง พวกเราก็อธิษฐานเผื่อคริสตจักรฯกัน จนในที่สุดไฟก็ดับและถูกควบคุมไว้ได้

ผมชื่นชมการที่เห็นภาพคริสเตียนต่างคริสตจักร ต่างสังกัดร่วมใจกันผ่านการอธิษฐานอย่างนี้มากเลยครับ แต่จากที่บอกว่า ทำไมจะต้องช่วงที่ "ร่วมทุกข์" ถึงจะเห็นการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แต่ทำไมเวลาจะ "ร่วมสุข" ถึงมาสุขร่วมกันไม่ได้ครับ.... สิ่งต่อไปที่ผมอยากเห็นคริสเตียนทำร่วมกันก็คือ เห็นการ "นมัสการฟื้นฟูเป็นหนึ่งเดียวกัน"ครับ ซึ่งผมเคยเห็นในช่วงงาน "ฟื้นฟู ฤทธิ์เดช" ในช่วงปี 90 เป็นงานใหญ่ประจำปี (แต่ตอนหลังปิดตัวไปเพราะแตกแยกของคณะผู้นำ และผู้จัด) ที่ผ่านมาผมเห็นแต่ ต่างคนต่างทำ, ทำคนเดียวดังคนเดียว, ทำแล้วดัง ดังแล้วเลิกเพราะหมดแรงทำต่อ, ทำแล้วมีคนหมั่นไส้เพราะดังกว่า ฯลฯ .... อย่ามีอย่างนี้อีกเลยสำหรับงานของพระเจ้าในยุคนี้นะครับ

สงสัยต้องนัดรวมกันอธิษฐานกันอีกในเรื่องนี้เป็นพิเศษ ดีไหมครับ???

ตอนนี้ใน FaceBook มีการรวมตัวคริสเตียนกว่า 1,500คนในกลุ่ม "คริสเตียนไทย" ซึ่งนำโดยอาจารย์ ดร. สุรศักดิ์ ศิษย์ธนานันท์ หรืออาจารย์กื้อ ผู้ช่วยศิษยาภิบาลคริสตจักรใจสมานวิภาวดี เป็นอาจารย์ และรุ่นพี่ของผมที่พระคริสตธรรมเพนเทคอส

วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ผมอยากเห็นโบสถ์คริสต์ทำได้เหมือนกับวัดพุทธ


ผมทราบข่าวอยู่เนืองๆ เกี่ยวกับโบสถ์หรือคริสตจักรต่างๆ ที่ภายนอกดูดี สวยงามเหลือเกิน แต่เบื้องหลังแล้ว ล้วนมีปัญหาทั้งสิ้น โดย 1ในปัญหาโลกแตกในการทำโบสถ์ก็คือ "โบสถ์ไม่มีเงิน"

ถ้าเรามองในมุมของชาวพุทธ ที่โบสถ์ก็คือ"วัด" ทางชาวพุทธนั้นจะไม่ค่อยเจอปัญหาการเงินนี้เท่าไหร่เนื่องจาก เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ ที่จำนวนพุทธศาสนิกชนอย่างต่ำๆก็ประมาณ 40-50ล้านคน วัดหลายแห่งจึงไม่ขัดสนเงิน สิ่งของ เพราะชาวบ้านทั่วไปจะทำบุญเข้าวัดตามเทศกาลอยู่เนืองๆ ยิ่งใกล้ที่ทำงานของผม จะอยู่ใกล้วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องการทำบุญ ตั้งเป็นชื่อว่า วัด"สังฆทาน"

ผมจะยกตัวอย่างวัดนี้ แล้วเมื่อนำมาเปรียบเทียบ และสะท้อนเข้าไปในหัวอกของคริสตชนเมืองไทย จะรู้สึกด้อย และต้อยต่ำสิ้นดี ผมจะเล่าให้ฟังว่ามันเป็นอย่างไร โดยเมื่อเข้าไปในวัดนี้ ที่อยู่ริมสะพานพระราม 5 นนทบุรี จากถนนใหญ่ที่รถวิ่งกันจอแจ แต่เข้าไปเพียงแค่ 1กิโลเมตรเศษก้ได้พบกับความร่มรื่น ในพื้นที่หลายร้อยไร่ของวัด

สังเกตได้ว่ามีชาวบ้าน ชาวพุทธเข้าออกอยู่ตลอดเวลา โดยหน้าวัดก็มีสหกรณ์จำหน่ายสิ่งของทั่วไปจนของสังฆทาน เมื่อเข้าไปในวัดผ่านต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น ก็จะมีทั้งสถานีวิทยุชุมชน นิตยสารของวัดแจกฟรีเป็นรายเดือน โรงทานที่มีบรรดาแม่บ้านมาผัดกับข้าวในกระทะใบใหญ่ไว้ให้กับคนที่หิวได้ทานฟรี มีห้องพักทั้งเป็นตึก ไปจนเป็นบ้านหลังเล็กๆสำหรับผู้ที่จะมาบวช
ไปจนบ้านกลางน้ำ อย่างกับรีสอร์ท ไว้สำหรับพักผ่อน พักสงบ วิปัสนา ดีจริงๆ
คนที่เข้าออกวัดนี้ ถ้าใครบวชก็จะนุ่งขาวห่มขาว อย่างรูปที่ผมถ่ายได้นี้เป็นหญิงสาววัยรุ่น น่าจะยังอยู่มหาวิทยาลัยครับ
แถมด้วยตู้ถวาย บริจาค โดยตั้งชื่อว่า "ตู้สร้างบุญ" โดยแบ่งเป็นหลายๆช่อง ใครอยากจะทำบุญสำหรับอะไร ก็ใส่ไปในช่องนั้นๆ น่าสนใจมาก
มีช่องสำหรับ ค่าน้ำ-ไฟ
เทียบกับคริสตจักร หรือโบสถ์คริสต์ในปัจจุบันที่มีสภาพดังนี้

1. ไม่เปิดทำการในวันอื่นใดนอกจากวันอาทิตย์เท่านั้น บางโบสถ์อาจจะเป็น Office ทำการของบรรดาผุ้รับใช้ในวันธรรมดา แต่ไม่ใช่สถานที่ ที่เหล่าคริสตชนจะเดินเข้าออกได้ ประตูโบสถ์จะปิดอยู่เสมอ

2. ไม่มีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ พักสงบ หรืออำนวยความสะดวกแก่การอธิษฐานเลย มีแต่ห้องประชุมที่ใหญ่โอ่โถง ปิดไฟมืด ล๊อคประตู จะเปิดไว้สำหรับการแสดงธรรมเทศนาในวันอาทิตย์เท่านั้น

3. ไม่มีอาหาร น้ำ ทาน ดื่ม บริจาคสำหรับผู้ยากไร้ แม้วันอาทิตย์ก็ตาม กินกาแฟก็ต้องเสียเงินซื้อกันเอง

4. การเข้าถึงอาจารย์ ศิษยาภิบาล ผู้รับใช้ เพื่อสนทนาธรรม ปรึกษาปัญหา อธิษฐานเผื่อ ฯลฯ เป็นไปได้ยาก ถ้าไม่ได้นัดหมายก่อน หรือแม้จะหาเบอร์โทรติดต่อก็ดูเป็นส่วนตัว ลึกลับเหลือเกิน อาจารย์มักจะไม่ค่อยอยู่ที่โบสถ์ ระหว่างสัปดาห์ท่านจะหายไปจากโบสถ์ เพราะท่านต้องไปรับงานประชุม สัมมนาที่อื่น จนกว่าจะเจออีกทีคือวันอาทิตย์ ไปโบสถ์ทีไร เจอแต่พนักงาน

5. โบสถ์ไม่มีกิจกรรมสำหรับวัยรุ่น วัยเรียนใดๆ ไปโบสถ์เหมือนไปดูการแสดงวันอาทิตย์ เสร็จรอบก็ทานข้าว แล้วกลับบ้าน ขาดความผูกพัน ขาดความน่าสนใจ ไปเที่ยวห้างกับเพื่อนยังดีกว่า

อื่นๆอีกมากมาย ที่ทำให้รู้สึกว่า วันนั้นที่ผมได้เข้าไปเดินในวัด สามารถสัมผัสได้ถึงความแตกต่าง ความที่วัดสามารถตอบสนอง ตอบโจทย์ปัญหาของคนที่ขาดที่พึ่งทางใจ รวมไปถึงทางกายได้ดีมากกว่าโบสถ์คริสต์ ของพวกเราที่พระเยซู ทรงได้แสดงให้เห็นแล้วว่า คริสเตียน คริสตจักรต้องเป็นที่พึ่งของคนยากจน และเข้าถึงชุมชนทุกแห่ง หักขนมปังตามบ้าน ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าเรื่อยไป

การได้ดูสิ่งดีๆจากที่อื่น แล้วนำมาประยุกต์ใช้โดยไม่ได้ขัดกับหลักพระคัมภีร์ ผมว่าเป็นสิ่งที่ดีมากครับ

วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ผู้รับใช้พระเจ้า...ก็คือคนธรรมดาที่ถูกเรียกว่าอาจารย์



ตั้งแต่เราเริ่มเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ หลายๆคนอาจจะได้รับสอน ปลูกฝังตั้งแต่เริ่มแรกเลยเกี่ยวกับเรื่องของ "สิทธิอำนาจ"ของผู้นำ หรือที่เราเรียกว่าผู้รับใช้พระเจ้า ซึ่งผู้สอนอาจจะมีเหตุผลที่ดี แรงจูงใจที่ดีที่จะให้ผู้เชื่อใหม่เหล่านี้รู้ว่า โดยพระเจ้าทรงเจิมแต่งตั้งผู้นำใดไว้ในงานของพระองค์ เราจะแตะต้องไม่ได้

“อย่าแตะต้องบรรดาผู้ที่เราเจิมไว้   อย่าทำอันตรายแก่ผู้เผยพระวจนะทั้งหลายของ เรา” 1พศว.16:22

ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ผมพบว่า ภายใต้แรงจูงใจที่ดี บางครั้ง หรือหลายครั้งก็เป็นการปรามไว้ แต่เนิ่นๆว่า ผู้นำเหล่านี้ "แตะต้องไม่ได้จริงๆ" หรือ "อย่าหือกับผู้รับใช้" ..... เอาเป็นว่า ผมตั้งใจว่าเขียนบทความ "สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคริสเตียน" จะไม่เขียนในเชิงสอน หรือเชิงคติธรรมอะไรมากมายให้เคร่งเครียด แต่ผมจะเขียนในมุมเชิงประสบการณ์ และสิ่งที่เกิดขึ้นในวงการคริสเตียนมาเล่าให้ฟัง

ในภาพของความเป็นมนุษย์ หรือ คนนั้น ถ้าเรามองผ่านหมวกสถานะภาพ ที่แต่ละคนสวมเอาไว้เช่น คนบางคนสวมหมวกหลายใบ เช่นหมวกของเจ้าของธุรกิจ ,หมวกอาจารย์สอนพระคัมภีร์, หมวกกรรมการศิษย์เก่าสถาบันฯ, หมวกสามี มนุษย์คนนั้นก็คือผู้ชายคนหนึ่ง เกิดมาในโลกจะกี่ปีก็แล้วแต่ ซึ่งผู้ชายคนนี้สามารถทำ คิด พูด ใดๆก็แล้วแต่แรงจูงใจ หรือประสบการณ์ชีวิตที่ได้ผ่านมา โดยออกมาได้สองด้านคือด้านที่เป็นคุณ และด้านที่เป็นโทษได้ทั้งสิ้น ดังนั้น จึงไม่มีใครหรอกครับที่ในชีวิตนี้ไม่เคยทำผิด ทำพลาด ทำชั่ว ทำบาปเลย นอกจากมนุษย์คนเดียวที่ชื่อเยซูชาวนาซาเร็ธเท่านั้น

ดังนั้นเมื่อมนุษย์คนนี้ทำพลาด ทำบาป ทำผิดไปแล้ว จะไม่เกิดปัญหาเลยถ้าเขาได้สำนึกผิดได้ไว กลับใจใหม่ได้เอง แต่ที่เป็นปัญหามากที่สุด ที่เกิดขึ้นในวงการคริสเตียนคือบรรดามนุษย์เหล่านี้ไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังทำผิดพลาด และร้ายกว่านั้นคือ มนุษย์เคสนี้ดันเป็นผู้นำหรือผู้รับใช้ฯที่ "แตะต้องไม่ได้" ยิ่งหลายคนอายุ(ความเชื่อ)มาก เป็นระดับซีเนียร์หรืออาวุโส ยิ่งไม่มีใครเอื้อมถึง

ปฏิกริยาที่บังเอิญมีคริสเตียนเป็นผู้พบเห็นว่าท่านเหล่านี้ทำพลาดมีออกมาหลายอย่างคือ
1. ไม่เชื่อว่าทำผิด เพราะท่านเหล่านี้ คือผู้รับใช้ที่ "ต้องไม่พลาด" ก็เลยไม่ทำอะไร แล้วขยี้ตาตัวเองใหม่ ว่ามองผิดหรือตาฝาดหูฝาดไป
2. เชื่อว่าทำผิดจริง แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นดีกว่า
3. เชื่อว่าทำผิดจริง เลยรวมตัวกันซุบซิบนินทากับเพื่อนสมาชิกคริสตจักร ก่อคลื่นใต้น้ำเงียบๆ ไปจนกลายเป็นคลื่นสึนามิ ถล่มผู้นำท่านนั้นจนเละ โบสถ์แตกเป็นเสี่ยงๆ

ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากเหลือเกินครับกับการจัดการปัญหา บางคนบอกว่าก็เดินไปบอกตรงๆด้วยความรัก แต่ผลที่ออกมาถ้าท่านเชื่อฟังท่านก็ดีไป แต่ถ้าไม่เชื่อฟังท่าน อาจจะรายการอื่นๆที่ตามมาซึ่งผมจะไม่เอ่ยถึงครับ ละไว้ในฐานที่เข้าใจ แต่ชีวิตท่านในคริสตจักรจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ผมมองว่า การกันไว้ ดีกว่าแก้ทีหลังครับ ผมยังเชื่อในพลังการอธิษฐาน ตอนที่ผมรับใช้พระเจ้าเต็มเวลาเป็นศิษยาภิบาล ผมขอบคุณพระเจ้าที่ผมได้รับการอธิษฐานเผื่อจากสมาชิกหลายท่านที่มีของประทานในการอธิษฐานตลอดช่วงเวลาทีได้รับใช้ฯ ผมไม่เคยล้มลงเลยครับ จะมีผิดพลาดเล็กๆน้อยๆที่กลับใจได้ไม่อยากเท่านั้น

จึงมีคำถามกลับมายังคุณว่า วันนี้คุณอธิษฐานเผื่อผู้นำของคุณหรือยังครับ เพราะการที่ท่านล้มลง อาจจะไม่เกิดขึ้น ถ้าคุณได้อธิษฐานเผื่อท่านอยู่เสมอ

อย่าคิดว่าผู้รับใช้คือ Superman ครับ เพราะแม้กระทั่งHeroนุ่งกางเกงในสีแดงไว้ข้างนอก ก็ยังแพ้คลิปตันไนท์ ผู้รับใช้ก็คือมนุษย์ธรรมดาคนนึง ที่อ่อนแอได้ ถูกล่อลวงได้ คิดผิดๆได้ ทำเลวได้ เหมือนกับคุณและคนบาปอื่นๆครับ บางท่านอาจจะแพ้ความมั่งมี, โลภ, เพศ ก็ไม่แปลกอะไร

ถ้าคุณรักผู้นำ ผุ้รับใช้พระเจ้า จงอย่าแค่พูด แต่แสดงออกด้วยการอธิษฐานเผื่อครับ

วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เมื่อกลับมาอีกครั้งหนึ่ง..



เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้เข้านมัสการในรอบเช้าเหมือนปกติทุกๆครั้ง ด้วยความที่เป็นคริสเตียนมานาน เรียนมาก็เยอะ เห็นอะไรมาก็แยะ จนกระทั่งกลายเป็นว่าการกระทำอะไรบางอย่างในวันอาทิตย์ กลับกลายเป็น "กิจวัตรประจำสัปดาห์" ไม่ได้น่าตื่นเต้นไปเสียทุกครั้ง ซึ่งแม้ว่าจะรู้ตัวดีก็ตามว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรเป็น แต่ผมเข้าใจในสิ่งนี้ได้ครับ

สิ่งนี้ก็คือการที่ผมต้อง "ยอมรับความจริง" คริสเตียนต้องยอมรับความจริง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "ผู้รับใช้พระเจ้า" ก็ต้องยอมรับความจริงว่า นี่เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นอยู่เสมอในชีวิตคริสเตียนของเรา แม้ว่าอาการที่เรียกว่า "อ่อนแรง" "อ่อนล้า" ลงนั้น บรรดานักเทศน์ที่เข้มข้น จะตะโกนบอกในตอนเทศนาอยู่เสมอว่า คริสเตียนต้อง "ร้อนรน"อยู่เสมอ แต่ก็ต้องไม่ปฏิเสธว่า แม้กระทั่งผู้นำ และเข้มแข็งที่สุด ตั้งแต่ในอดีต จนถึงปัจจุบัน และเรื่อยไปในอนาคต ล้วนเคยอ่อนแรง และพลาดมาก่อนทั้งนั้น ในพระคัมภีร์ ให้ไล่ชื่อมาก็ มีตั้งแต่ อับราฮัม ยาโคบ ดาวิด ซาโลมอน ยันเปโตร

หลังจากที่ยอมรับแล้ว ว่า คุณไม่ได้ผิดปกติหรอกครับ เหล่าคริสเตียนทุกเพศ ทุกวัน ทุกระดับความเชื่อก็ล้วนเคยเป็นอาการนี้มาทั้งนั้น แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ...เราจะทำยังไงต่อไปดี

จากประสบการณ์ ทั้งส่วนตัว และบรรดาเพื่อนฝูงในแวดวงผู้รับใช้ร่วมกันก็ดี จะมีช่วงเวลาที่นิ่งสงบ สยบความเคลื่อนไหวตั้งแต่ 1เดือน ยันเป็นปี ซึ่งระยะเวลาใดนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยครับ สภาพแวดล้อม สถานะภาพในขณะนั้น รวมไปถึงเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ส่วนตัวและครอบครัว ก็ส่งผลทั้งนั้น แต่ให้เชื่อเถอะว่า ถ้าความเชื่อที่แต่ละท่านมี "รากฐาน"ที่มั่นคงอยู่แล้ว อาการอย่างนี้จะไม่ส่งผลไปจนกลายเป็นคนที่ "หลงหาย" หรอกครับ บรรดาท่านศิษยาภิบาล พี่เลี้ยงทั้งหลายไม่ต้องกังวลครับ แล้วผมก็ไม่แนะนำให้ท่านไป "เร่งเร้า", "ตำหนิ" หรือที่บางคนเรียกกันเพราะๆว่า "หนุนใจ"เพราะยิ่งจะไปกันใหญ่ครับ สิ่งที่ทำได้คือ "เข้าใจ" รวมไปถึง "รักษาความสัมพันธ์" ไว้จะดีกว่าครับ ผมมีเพื่อนผู้รับใช้ท่านนึง ท่านก็ไม่ได้เป็นอาการอะไรมากหรอกครับ แค่อยากนิ่ง สงบ หลังจากกำศึกทั้งกับลูกแกะก็ดี ซาตานก็ดี แต่ผู้นำท่านนั้นไม่เข้าใจ กะจะหนุนใจ แต่เบื้องลึกที่ท่านไม่ทราบกลับกลายเป็นการกดดัน จนกลายเป็นเรื่องใหญ่ เพื่อนของผมท่านนั้น เลยลาออกจากคณะ และคริสตจักรนั้นไปเลย...

ทุกคนมีช่วงเวลาพักสงบได้ครับ ถ้าท่านที่อ่านปัญญาจารย์ ก็จะพบว่า ผู้เขียนได้พูดถึง "วาระ" คุณและผมก็ล้วนมีวาระในแต่ละสิ่งครับ เมื่อวาระพัก จงพัก แต่วาระวิ่ง ก็วิ่งให้เต็มกำลังเท่านั้นครับ