วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2552

เพลงทั่วไป กับการนมัสการพระเจ้า

วันพรุ่งนี้ผมมีโปรแกรมต้องเดินทางไปเล่นดนตรีกับวงSYNC ที่ค่ายคริสเตียนCTTM ที่ปากช่อง โคราชครับ เล่นตอนสามทุ่ม ผมได้ขอไปว่าให้เป็นการนมัสการสำหรับวัยรุ่น หลังจากช่วงหลังกการฟื้นฟู แต่คราวนี้ผมเตรียมเพลงไป ไม่ได้เป็นเพลงคริสเตียนล้วนๆ แต่ผมได้เสริมด้วยเพลงทั่วไปเช่นของ BodySlam, Big Ass, SillyFool อีกประมาณ6เพลง

ถามว่า ในการนมัสการพระเจ้าเราใช้เพลงทั่วไป หรือที่เรียกว่าเพลง "ชาวโลก" ได้หรือเปล่า????

ส่วนตัวผมยังไม่เคยใช้เพลงทั่วไปในการนมัสการพระเจ้ามาก่อนเลยนะครับ อาจจะเป็นเพราะเพลงคริสเตียนที่แต่งเพื่อใช้ในการนมัสการพระเจ้าโดยตรงมีเยอะอยู่แล้ว แต่ผมเคยฟังเพลงทั่วไปที่พูดถึงความรัก แล้วก็นมัสการพระเจ้าไป โดยคิดถึงความรักที่มาจากพระเจ้าแทน ก็ใช้ได้นะครับสำหรับส่วนตัว

ต้องกลับมาที่คำว่า "นมัสการ" คืออะไรก่อน ทฤษฏีการนมัสการตามพระคัมภีร์คือ การก้มกราบ การถวายความเคารพ และการยกย่อง

ในปัจจุบันมีการนมัสการหลากหลายรูปแบบ ออกไปเช่น นมัสการด้วยเสียงเพลง นมัสการด้วยคำอธิษฐาน นมัสการด้วยการดำเนินชีวิต

แล้วก็เกิดเพลงคริสเตียนออกมามากมายในช่วย ศตวรรษที่ผ่านมา เกิดการนมัสการด้วยการเอาดนตรีเข้ามาผนวกจนกลมกลืนไปด้วยกัน บางเพลงมีเนื้อหาสรรเสริญ ยกย่องพระเจ้า ขอบพระคุณพระเจ้า แต่บางเพลงก็พูดถึงการหนุนใจในการดำเนินชีวิตคริสเตียน

ซึ่งจริงๆแล้ว มีคนถามว่าเพลงหนุนใจเหล่านี้ จะนำมาใช้นมัสการพระเจ้าได้หรือไม่  สำหรับความคิดเห็นของผม คือตราบใดที่จุดศูนย์กลางของการร้องเพลงนั้นๆ คือการยกย่องพระเจ้า หรือถวายเกียรติแด่พระเจ้า แม้ว่าเนื้อหาเพลงจะไม่ได้พูดถึงการยกย่อง สรรเสริญพระเจ้าโดยตรง แต่ทางอ้อม เนื้อเพลงก็ได้หนุนใจให้ผู้ร้องได้ถวายตัวแด่พระเจ้า ซึ่งก็เป็นการถวายเกียรติพระเจ้าทางอ้อมอยู่ดี ซึ่งตรงกับทฤษฎีของการ"นมัสการ" ผมว่าไม่ผิดนะครับ ดูอย่างเพลงหลายเพลงของ Hillsong ที่ใช้ร้องเป็นเพลงเร็ว ก็ใช้ในคอนเสริตนมัสการ และการนมัสการในวงกว้างทั่วไป

กลับมาที่เพลงทั่วไป ที่แต่งโดยคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าดูบ้าง อันนี้ผมมองด้วยมุมมองใหม่นะครับว่า แม้จะแต่งมาโดยไม่ใช้จุดประสงค์เพื่อการนมัสการพระเจ้า หรือหนุนใจคริสเตียน แต่หลายเพลงถ้าเราศึกษาเนื้อเพลงให้ดี ก็จะพบว่า หลายเพลงเป็นเพลงให้กำลังใจ มีมุมมองที่ไม่ขัดกับพระคัมภีร์ เราก็สามารถนำมาใช้ในการร้องสำหรับกรณีพิเศษต่างๆเช่น คอนเสริต หรือช่วงสนุกสนานในค่ายฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มวัยรุ่นที่ต้องการเพลงที่เข้ากับวัฒนธรรมสมัยนิยมของพวกเขา (รู้กันอยูว่า ค่านิยมในการฟังเพลงวัยรุ่นจะเปลี่ยนไปตามยุคสมัยไวมากๆ เพลงคริสเตียนผลิตออกมาไม่ทัน) เราลองมาดูเนื้อเพลงหนึ่งของวง BodySlam ครับ



มันเกือบจะล้มมันเหนื่อยมันล้าเหมือนแทบขาดใจ
เดินมาจนท้อไม่เจอจุดหมายปลายทางที่ฝัน
จะกลับดีไหมถ้าเดินต่อไปยากเย็นขนาดนั้น ยังถามใจ

ตลอดชีวิตฉันเชื่อในสิ่งที่คิด
หรือมันจะเป็นอะไรที่ผิด และฉันเองที่หลงทาง

ชีวิตมันต้องเดินตามหาความฝัน หกล้มคลุกคลานเท่าไหร่
มันจะไปจบที่ตรงไหน เมื่อเดินเท่าไหร่มันก็ไปไม่ถึง

เดินต่อช้าๆไม่อยากปล่อยฝันให้มันหลุดมือ
ที่สั่งให้ฉันไปต่อก็คือความเชื่อเท่านั้น
ถ้าในวันนี้เรี่ยวแรงยังเหลือก็ยังต้องฝัน ต้องก้าวไป

ตลอดชีวิตฉันเชื่อในสิ่งที่คิด
แม้ไม่ว่ามันจะถูกหรือผิด จะขอทำสุดหัวใจ

ชีวิตมันต้องเดินตามหาความฝัน หกล้มคลุกคลานเท่าไหร่
มันจะไปจบที่ตรงไหน แต่จะยังไงก็ต้องไปให้ถึง
ที่สุดถ้ามันจะไม่คุ้ม แต่มันก็ดีที่อย่างน้อยได้จดจำว่าครั้งนึงเคยก้าวไป
แค่คนที่เชื่อในความฝัน จะเหน็ดจะเหนื่อยก็ยังต้องเดินต่อไป

ฉันท้อแท้สักกี่ทียังมีหวัง
แม้พลาดพลั้งสักกี่ครั้งยังฝันไกล
แม้ฉันล้มฉันก็คงไม่ตาย
ฉันยังไม่ตายฉันยังคงหายใจ

แม้ท้อแท้สักกี่ทียังมีหวัง
แม้พลาดพลั้งสักกี่ครั้งยังฝันไกล
แม้ฉันล้มฉันก็คงไม่ตาย
ฉันยังไม่ตายฉันยังคงหายใจ

ชีวิตมันต้องเดินตามหาความฝัน หกล้มคลุกคลานเท่าไหร่
มันจะไปจบที่ตรงไหน แต่จะยังไงก็ต้องไปให้ถึง
ที่สุดถ้ามันจะไม่คุ้ม แต่มันก็ดีที่อย่างน้อยได้จดจำว่าครั้งนึงเคยก้าวไป
แค่คนที่เชื่อในความฝัน จะเหน็ดจะเหนื่อยก็ยังต้องเดินต่อไป

ฉันท้อแท้สักกี่ทียังมีหวัง
แม้พลาดพลั้งสักกี่ครั้งยังฝันไกล
แม้ฉันล้มฉันก็คงไม่ตาย
ฉันยังไม่ตายฉันยังคงหายใจ

แม้ท้อแท้สักกี่ทียังมีหวัง
แม้พลาดพลั้งสักกี่ครั้งยังฝันไกล
แม้ฉันล้มฉันก็คงไม่ตาย
ฉันยังไม่ตายฉันยังคงหายใจ


จะพบว่าเพลงนี้เนื้อหาให้กำลังใจกับคนที่กำลังท้อถอย ให้ลุกขึ้นเดินต่อไป ซึ่งตามพระวจนะของพระเจ้าก็มีหนุนใจเราเยอะมากมายตามความหมายเพลงนี้เช่น อย่ากลัวเลย  เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าขยาด  เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะหนุนกำลังเจ้า  เออ  เราจะช่วยเจ้า เออ  เราจะชูเจ้าด้วยมือขวาอันมีชัยของเรา (อิสยาห์41:10)

ผมมองว่า มุมมองนี้ควรเปิดกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราทำงานดนตรีกับอนุชนวัยรุ่นยุคใหม่ New Generation ถ้าเราจับประเด็นนี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์สำหรับการนมัสการ หรือดนตรีสำหรับวัยรุ่นคริสเตียน เราจะมีเพลงให้เลือกเยอะขึ้น แถมจับได้หัวใจของวัยรุ่นเหล่านี้ด้วยครับ

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552

เพลงนมัสการ Break Free ของ Hillsong United

วันนี้อยากพูดถึงเรื่องเพลง Break Free ของHillsong United ครับ



Break Free เป็นเพลงที่อยู่ในอัลบั้ม All of Above
Released 17 March 2007
Recorded 2006
เขียนและร้องโดย Houston, Matt Crocker & Scott Ligertwood
แปลเป็นไทยโดย บัญชา โชติวรรณพร

ได้ฟังเพลงนี้เพราะมีน้องคนนึงที่ชื่อคีช่า เป็นลูกสาวของมิชชั่นนารีชาวฟิลิปปินแนะนำให้ฟัง ว่าถ้าพี่เกี๊ยงชอบเพลงเร็วๆสนุกๆ เพลงนี้น่าจะโดน พอได้ฟังก็"โดน"จริงๆครับ แต่ยอมรับว่าคำว่า "Break Free" ในเพลงนี้ทีแรกไม่เข้าใจความหมาย ทำไมถึงมีการท้าทายว่า "ทำไมคุณถึงจะไม่เบรกฟรี เบรกฟรี" ต้องให้น้องคีช่าช่วยอธิบายถึงเข้าใจ วู้ว สนุกแหะเพลงนี้ ถ้าใช้ในการนำนมัสการ จะได้ช่วยกระเทาะน้ำแข็งที่เกาะขาของผู้นมัสการหลายๆคนให้กระโดดได้บ้าง...ใครไม่เต้นไม่ได้แล้วเพลงนี้ โดดโลดดดดด

มีจังหวะที่สนุกสนาน มีท่อน Pre-Chorusที่คุ้นหู คือ So won't you Break free.. เนื้อหาบอกถึงการท้าทายให้ทุกคนเต้นโลดสนุกสนานไปกับการนมัสการพระเจ้า ปล่อยให้เป็นอิสระ 



Break Free คอร์ดพร้อมเนื้อแปลภาษาไทย 
F#m D
Would you believe me, would you listen if I told you that
เธอจะเชื่อไหม ถึงสิ่งที่ฉัน กำลังจะพูดไป
F#m D
There is a love that makes the way, it never holds you back
มีรักที่แท้จริง จะคอยนำทาง และอยู่กับเธอใกล้ๆ
Pre-Chorus
F#m
So won't you break free, won't you break free
แล้วเธอจะกล้าไหม เธอจะกล้าไหม
D
get up and dance, in His love
ลุกขึ้นเต้นโลดนมัสการ

Verse 2 
F#m
Who would have thought that?
มีใครจะคาดถึง
D
God would give his one and only Son
ว่าพระองค์ ยอมส่งพระบุตร ลงมา
F#m D
Taken a stand upon the cross to show his perfect love
ยอมตายเพื่อฉัน โดยแบกกางเขน เพื่อสำแดงความรัก
His love never ends, yeah.
แต่รักพระองค์ไม่ตาย 

Chorus 
A D E F#m
There's no escaping the truth, there's no mistaking its you
ไม่อาจหนีความเป็นจริง, เพราะทุกสิ่งคือพระองค์
D
God forever we'll get up and dance, get up and dance and praise you
แต่เพื่อพระเจ้า เราลุกขึ้นเต้นโลด ลุกขึ้นเต้นโลดนมัสการ
A D E F#m
There's no escaping your love, there's no mistaking your light
ไม่อาจหนีรักพระองค์, เดินติดตามแสงนำทาง
D
Across the world we will get up and dance, get up and dance and praise you
ไปในโลกกว้าง เราลุกขึ้นเต้นโลด ลุกขึ้นเต้นโลดนมัสการ 

Verse 3 
F#m D
Now is the time to take this freedom that has come our way
นี่คือเวลา ที่เราจะก้าวออกไป อย่างมีเสรี
F#m D
Offer our lives to see the glory of His name
และมอบชีวี ของเรา ถวายหมดแด่พระองค์ 
Bridge 
E F#m
And for all our days
หมดทั้งชีวิตของเรา
D E F#m
We are holding on, holding on to all your ways
ซึ่งเราจะยึดถือใน ยึดถือใน ทางของพระองค์
D E F#m
We are holding on, holding on to all you've said
และเราจะยึดมั่นใน ยึดมั่นใน สิ่งที่ตรัสไว้
D
and you've done
และทำ
E F#m D
We are holding on to your love
พวกเราจะเชื่อมั่นใน รักพระองค์
Now we will dance
และเราจะเต้น

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2552

เมื่อผมหลงเข้าไปในโลกของ "กบ" CamFrog2

มาว่ากันต่อเรื่องเจ้า "กบ" ตัวน้อยแต่พิษสงร้ายกาจตัวนี้

ตอนแรกพอเข้าไปในห้อง เราก็เหมือนคนแปลกหน้านะครับ แต่อย่าตกใจไป เพราะหลายคนในห้องก็ล้วนเป็นคนแปลกหน้ากัน แบ่งคนที่มาเล่นในห้องได้สองกลุ่มคือ 1. กลุ่มขาจร และ2. ขาประจำ
ขาประจำคงไม่ต้องพูดถึง ซึ่งก็คือพวกที่มาอยู่ประจำจนได้สิทธิ ได้สีต่างจากชาวบ้านทั่วไป ส่วนกลุ่มขาจรเป็นประเภทอาจจะมีห้องประจำห้องอื่นแล้วเบื่อๆก็เลยแวะมาห้องอื่น ไม่ก็เป็นพวกที่ไม่มีห้องประจำเลย อาศัยมั่วๆเข้าห้องอื่น หาเพื่อนคุย

แต่จากการสังเกตในการเข้าเล่นCamfrogนะครับ คนส่วนใหญ่คือ ล้วนมาหาเพื่อนทั้งสิ้น หาเพื่อนคุย แต่จะเป็นรูปแบบลักษณะของการ"จีบ"กัน หยอดคำหวานๆกัน ไม่ก็เป็นหยอกล้อกันเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่อัตราส่วนประชากรระหว่างชาย-หญิงพบว่า ชายมากกว่าหญิงประมาณ3/1 ได้ครับ (อันนี้ไม่นับชายไม่แท้ หรือหญิงไม่แท้ ซื้อเขาก็จะมีห้องเฉพาะของเขาต่างหาก) ดังนั้น ลูกเล่นในการคุยก็จะเริ่มจาก การคลิ๊กๆดูกล้องของผู้ใช้แต่ละคน(ถ้าเขาเปิดกล้อง) ถ้าเจอใครที่ดุแล้วน่ารัก น่าคุยก็จะพยายามทักทายผ่านทาง"หน้าห้อง" เช่น ผมใช้ชื่อว่า Gueeng พอดีเปิดกล้องไปเจอน้อง SoCute กำลังซดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ก็จะส่งข้อความไปทักทายว่า "Gueeng:...SoCute: หวัดดีครับ กินน่าอร่อยนะ แต่เส้นบะหมี่ติดปากนู๋แล้ว" อย่างนี้เป็นต้น

ส่วนใหญ่เลยจะเป็นการทักจากฝ่ายชายไปหาฝ่ายหญิง เพราะด้วยจำนวนประชากรระหว่างเพศแตกต่างกันมาก ดังนั้นบรรดาน้องๆคุณผู้หญิงทั้งหลายจึงแทบไม่ต้องทักผู้ชายเลยครับ ให้ออกกล้องหน้าตาดีๆหน่อย เดี๋ยวก็จะมีคนทักมาเพียบ แต่สำหรับน้องที่ไม่ขึ้นกล้อง ออกกล้องแล้วไม่สวย ก็ต้องอาศัยทักฝ่ายชายไปก็ไม่ผิดอะไรครับ

เมื่อทักทายกันแล้ว แล้วรู้สึกว่าจะคุยกันถูกคอ ต่างฝ่ายก็อาจจะขอ IM หรือการพูดคุยส่วนตัว 2-2 ซึ่งจะแยกออกมาจากห้อง แต่การคุยแบบนี้ต้องให้ฝ่ายที่ถูกขอ อนุญาตนะครับ แต่เจ้าโปรแกรมแคมฟร๊อกมันดีตรงที่ว่า เราก็ยังสามารถ"ส่อง"กล้องของคู่สนทนา หรือว่าจะไปส่องคนอื่นๆในห้องก็ได้แต่จะส่องได้เพียงครั้งละ1คนเท่านั้น

ที่พิเศษนอกเหนือไปกว่านั้นคือ ถ้าเราต้องการการส่องกล้องมากกว่า 1คนขึ้นไปเราจะต้องเสียเงินเพื่อซื้อ Camfrog Pro หรือเรียกอีกอย่างว่า โปรโค๊ด100จอ ซึ่งจะอัพเกรดการเล่นโปรแกรมตัวนี้ให้ใช้งานได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น ราคาตอนนี้อยุ่ที่ประมาณ 1800บาท ใช้ได้ตลอดชีพ มีความสามารถพิเศษเช่น สามารถส่องได้ ถึง 100จอในเวลาเดียวกัน(แต่ส่วนใหญ่แค่สิบกว่าจอก็เต็มหน้าจอคอมพิวเตอร์เราแล้ว)

กลับมาสู่สังคมของคนในcamfrog จากที่สังเกตมา จะมีคนสองกลุ่มที่เล่นก็คือ เข้าประจำทุกวัน และกลุ่มนานๆเข้าที ไม่เป็นประจำ แต่จากปริมาณของผู้เล่น โดยส่วนใหญ่ก็คือจะเข้าประจำทุกวัน เมื่อเล่นประจำในห้องใดห้องหนึ่งแล้วจนเป็นที่รู้จัก โดยส่วนใหญ่เจ้าของห้องจะเป็นผู้นัดมีทติ้งกัน คือการนัดให้สมาชิกในห้องออกมาพบปะกันตัวจริงๆเป็นๆ เพื่อวัตถุประสงค์กระชับความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในห้องนั้นๆ

มีคำถามว่า เจ้าของห้องที่ต้องลงทุนเงินจำนวนมากในแต่ละเดือน จะได้อะไรสำหรับการเปิดห้องแคมฟร๊อค จากที่ได้พูดคุยกับเจ้าของห้องที่มีจำนวนผู้เข้าใช้เฉลี่ย70-80คนในแต่ละชม.นั้น ก็คือได้ความสนุกสนาน และความพึงพอใจ เพราะคนที่เป็นเจ้าของห้องจะมีลักษณะเป็นผู้บริหารห้อง มีอำนาจ บทบาทและชื่อเสียงที่สมาชิกห้องจะให้การยอมรับ สามารถให้สี ให้สิทธิแก่สมาชิกในห้องเพื่อประโยชน์ในการเล่นมากขึ้น ถ้าเปรียบเป็นชั้นวรรณะ เจ้าของห้องอยู่ในวรรณะสูงสุดครับ

แต่ห้องบางห้องก็สามารถทำรายได้จากการหาสปอนเซอร์มาสนับสนุนค่าใช้จ่าย เช่นห้องที่มีผุ้เล่นจำนวนเฉลี่ยหลัก200คนขึ้นไปในแต่ละชม. แต่การบริหารห้องก็จะต้องเป็นมืออาชีพ ต้องมีดีเจหรือผู้ดูแลห้องเฉลี่ย 7คน/วัน ห้องเล็กๆก็จะเป็นดีเจอาสาสมัคร หรือสมาชิกช่วยๆกัน แต่ถ้าห้องที่มีคนมาใช้เยอะหลักร้อย ก็จะมีการให้ค่าจ้างดีเจหรือค่าตอบแทนอื่นๆครับ

มาทีนี้ผมจะพูดถึงแนวความคิดที่จะนำเจ้าโปรแกรมแคมฟร๊อกมาใช้งานกับกลุ่มคริสเตียน
ผมเชื่อว่ามีคริสเตียนที่ใช้อินเทอร์เน็ตอยู่ต่อวันหลักพันคน โดยจากการสำรวจกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตปี2008 กลุ่มอายุที่ใช้อินเทอร์เน็ตมากทีสุดคือกลุ่ม15-25ปี รองลงมาคือ25-35ปี เมื่อเจ้าโปรแกรมแคมฟร๊อกนี้สามารถสร้างกลุ่มสังคมของผู้ใช้ขึ้นมาได้ จนถึงขนาดมีการมีทติ้งกันได้แล้วละก็ ทำไมเราจะนำมาใช้เพื่อสร้างกลุ่มสังคมคริสเตียนในอินเทอร์เน็ตไม่ได้ ข้อดีของโปรแกรมตัวนี้ที่จะนำมาประยุกต์ใช้งานคริสเตียนคือ
1. สร้างสังคม และความผูกพันธ์ระหว่างคริสเตียนที่ใช้อินเทอร์เน็ต
2. เผยแพร่เพลงคริสเตียนใหม่ๆ ทั้งเพลงทั้่วไปและเพลงแนวนมัสการจากวงดนตรีคริสเตียน
3. ให้ความรู้ และข้อซักถามบางประเด็นทั้งด้านพระคัมภีร์ และด้านการดำเนินชีวิตคริสเตี่ยน
4. ให้คำหนุนใจ อธิษฐานเผื่อสำหรับผู้ที่ต้องการคำปรึกษา
5. เพื่อการประกาศสำหรับผู้สนใจอยากรู้จักกับพระเยซูฃ
6. เป็นสื่อการของการประชาสัมพันธ์ ข่าวสารงานต่างๆ

แต่สิ่งที่จะต้องระมัดระวังก็คือ


เมื่อผมได้ปรึกษากับอาจารย์และผู้นำหลายท่านถึงความคิดที่จะเอาเจ้าโปรแกรมแคมฟร๊อกนี้มาสร้างสังคมคริสเตียนออนไลน์ ส่วนใหญ่ผมได้รับคำหนุนใจให้ทำครับ เพราะจากที่ผ่านมาไม่เคยมีใครทำได้เลย แม้กระทั่งเว็บไซต์ หรือเว็บบอร์ดของคริสเตียน แต่เมื่อผมได้เข้าไปสัมผัส ผมต้องระมัดระวังตัวเองอย่างมากในการใช้โปรแกรมตัวนี้คือ
1. โปรแกรมนี้มีคนที่เข้ามาใช้อย่างผิดๆ และล่อแหลมต่อศีลธรรมอย่างมากมาย ทั้งทางภาพและเสียงซึ่งผู้ใช้จะต้องบังคับใจตนเองไม่ให้ไปกับสิ่งนั้น โดยเฉพาะไม่ดูไม่ฟัง หรือไม่เข้าห้องที่อยู่ในกลุ่ม 18+เด็ดขาด
2. มีกลุ่มคนที่มาโดยวัตถุประสงค์ที่บริสุทธิ์ใจ และไม่สุจริตปนกันไป หลายคนก็มาเพื่อจีบกันทั้งที่ตนเองก็มีแฟนหรือคู่ครองอยู่แล้ว 
3. มีบางคนมาเพื่อการขอเรี่ยไรเงิน โดยอ้างว่าเงินหาย ลำบาก ฯลฯ เพื่อให้คนที่มีใจสงสารโอนเงินให้เป็นต้น

จากสิ่งที่อันตรายเหล่านี้ ทำให้ผมก็เกิดความสงสัย และก็มีคำถามว่าผมจะทำในสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า??

เมื่อวานขณะที่ผมกำลังนมัสการพระเจ้าอยู่นั้น มีคำนึงที่ผุดขึ้นมา "การที่เราใช้เจ้าไปทำหน้าที่ในสิ่งที่อันตรายที่สุด นั่นหมายถึงเจ้าเป็นมือดีที่สุดที่เราไว้วางใจให้เจ้าทำงานนี้ และเรารู้ว่าเจ้าทำได้"....

ผมจะลองดูครับ...........พระองค์

วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2552

เมื่อผมหลงเข้าไปในโลกของ "กบ" CamFrog




ที่ผมหายไป 4 วันไม่ได้อัพเดท Blog "คริสเตียน ตัวโน๊ต และไซเบอร์"เลยก็เพราะผมได้ลองเข้าไป"เล่น"โปรแกรมสำหรับChatที่ชื่อ "CamFrog"หรือภาษาไทยที่เรียกว่าโปรแกรม"ส่องกบ" นั่นเอง

เกิดจากเมื่อประมาณ2ปีที่ผ่านมาชื่อเสียงของเจ้าโปรแกรมตัวนี้ได้ลือกระฉ่อนทั้งทางด้านที่ดีและไม่ดี(แต่โดยส่วนมากคือไม่ดี) จึงทำให้ผมค่อนข้างสนใจโปรแกรมตัวนี้เป็นพิเศษ และจากบทความเมื่อสองสามวันก่อน ถ้าคุณนอนหลับแล้วตื่นขึ้นมา คุณพบว่าคุณตกรุ่นไปแล้ว..ทุกวัน
ที่ทำให้ผมสนใจอยากลองสัมผัสเจ้าโปรแกรมตัวนี้แบบ ให้รู้ดำรู้แดงไปเลย .... ลุยยยย

เกริ่นก่อนว่า ผมเริ่มเล่นอินเทอร์เน็ตตั้งแต่ปี 1997 สมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยมหานคร นอกจากใช้โปรแกรมเว็บบราวเซอร์เข้าไปดุเว็บไซต์ต่างๆแล้ว ผมก็มีโอกาสใช้โปรแกรมChatที่ตอนนั้นดังมากก็คือ ICQ และ Pirch ซึ่งถ้าคนไหนทันเล่นอินเทอร์เน็ตก่อนปี 2000 จะต้องรู้จักเจ้าโปรแกรมสองตัวนี้แน่นอน ICQ คือโปรแกรมMSN ในปัจจุบันนี่แหละครับ ดังนั้นผมจะขอผ่านไป

เจ้าโปรแกรม Pirch นี่แหละก็คือโปรแกรมสำหรับChat หรือพูดคุยกันเป็นห้องเป็นกลุ่มแทบจะเป็นโปรแกรมดั้งเดิมที่ใช้งานแบบนี้ วิธีการเล่นก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเจ้าโปรแกรมCamFrogในปัจจุบันมากนัก คือเมื่อเข้าโปรแกรมนี้แล้ว ก็จะมีห้องสนทนาต่างๆ ที่เรามีอิสระในการสร้างห้อง หรือจะเข้าห้องไหนก็ได้ เมื่อเข้าไปก็จะสามารถพูดคุยกันกลางห้อง หรืออยากจะคุยส่วนตัวสองคน ก็ได้ จากรูปแบบการใช้งานนี้จึงทำให้เกิดกลุ่มสังคมออนไลน์ย่อยๆเกิดขึ้น เช่น สมมติมีห้องที่ชื่อว่า "สยามซ่า" มีคนที่เข้าไปพูดคุยกันเป็นประจำจนเกิดความคุ้นเคยกัน เรียกว่ามีสมาชิกประจำประมาณ 30 คน ก็จะเริ่มนัดพบกันที่เรียกว่า "มีทติ้งห้อง" เป็นการออกมาพบกันในโลกความเป็นจริงหลังจากพูดคุยรู้จักกันในโลกอินเทอร์เน็ต ซึ่งในห้องนี้ก็มีทั้งมิตรภาพจริงๆ แล้วก็มิตรภาพหลอกๆ ก็แล้วแต่ว่าใครจะไปเจอใคร รู้จักใคร

ผมมีโอกาสเล่นเจ้า Pirch จนกระทั่งเรียกได้ว่าเป็นสมาชิกประจำที่รู้จักคุ้นหน้าคุ้นตาในห้องๆหนึ่ง ออกมานัดมีทติ้งกันหลายครั้ง แต่ในสมัยนั้นอินเทอร์เน็ตยังไม่ได้พัฒนาเหมือนปัจจุบัน Pirch จะเห็นแค่เฉพาะตัวอักษรเท่านั้น ส่วนหน้าตา ก็คือต้องส่งรูปDigital ให้ดูกันเองทางอีเมล์หรือการแลกเปลี่ยน File ภาพเคลื่อนไหวเป็นเรื่องยากในตอนนั้น(เพราะเล่นกันที่ความเร็ว 33.6K เทียบกับปัจจุบันคือ512K ไปจนถึง 4,000K)เมื่อได้กลายเป็นสมาชิกประจำก็จะได้รับสิทธิต่างๆของห้อง อัพจากคนทั่วไปมาเป็นสมาชิก-ผู้ดูแลห้อง ฯลฯ และก็ทำให้เรา"ติด" คือห้องต่างๆพวกในในโลก"อินเทอร์เน็ต" มันเปิด 24 ชม.ครับ คือไม่มีวันปิด ใครจะเข้ามาตอนไหนก็ได้ ทำให้บางคนที่ติดหนักๆแทบจะอยู่หน้าจอเพื่อเสพการสนทนาผ่านเจ้าโปรแกรมนี้ทั้งวันทั้งคืนเลยทีเดียว

ผมเรียกได้ว่าติดระดับปานกลางคือใช้เวลาเล่นประมาณ5-6ชม.ต่อวัน เมื่อกลับมาบ้าน ใช้คอมพิวเตอร์ก็จะนั่งตั้งแต่ 1ทุ่มไปจน ตึ1-2 แต่ท้ายที่สุด ก็มาถึงจุดที่ทำให้เลิกเล่นก็คือ จากมิตรภาพที่ดีๆ คนที่เล่นก็หลายพ่อพันแม่ หลายคนก็ใส่หน้ากากเข้าหากัน พอคบๆไปมันก็เผยตัวตนที่แท้จริงออกมา เพราะโลกอินเทอร์เน็ตเราจะใส่หน้ากากอย่างไรก็ได้แต่พอออกมาในโลกความเป็นจริงมันปิดบังกันไม่ได้ ผมก็เลยเรียกได้ว่า ผิดหวังกับมิตรภาพตรงนั้น ก็เลยเลิกเล่นออกมา แล้วก็คิดว่าจะไม่เล่นอีกแล้ว เหมือนอาการคนอกหักครับ หลังจากนั้นผ่านไป 2ปีคิดยังไงก็ไม่รู้ กลับไปเล่นใหม่ ห้องใหม่ แล้วก็อกหักออกมาเป็นรอบที่สอง(ผมเล่าคร่าวๆ อย่างรวบรัดนะครับ) จากเหตุการณ์ทั้ง 2เหตุการณ์จึงเป็นสาเหตุที่ผมแทบไม่แตะโปรแกรมจำพวกนี้อีกเลย เข็ดครับ....

เกริ่นมาตั้งนาน.. แต่ก็เป็นเหตุผลที่ผมไม่ได้เล่นเจ้า CamFrogเลย ที่จริงผมได้ยินชื่อเสียงของโปรแกรมนี้มาตั้งแต่แรกที่เริ่มดัง ยิ่งโดยเฉพาะตอนที่ผมมาเปิดร้านอินเทอร์เน็ตก็พบว่า มีน้องๆและลูกค้ามาใช้บริการที่ร้านล้วนติดเจ้าโปรแกรมตัวนี้"งอมแงม" คือ มาปุ๊ปต้องเปิดปั็บ เล่นกันจนเป็นMember เป็น DJ (คือได้รับสิทธิในการเปิดเพลง จัดรายการในห้อง แล้วก็พูดออกไมค์ฯที่คนในห้องจะได้ยินหมด) มีน้องคนนึงชื่อว่า "ไอ้อ๊อด" มันเป็นเด็กแว้นท์อ้วนๆ หัวทองๆ ขับมอเตอร์ไซต์แต่ง มาเล่นประจำที่ร้าน ดึกๆดื่นจนเช้า ติดเจ้าโปรแกรมนี้อย่างหนัก จนชวนเพื่อนที่ติดโปรแกรมนี้ด้วยกันไปเปิดห้อง ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายเดือนละ 1,400 .....ซึ่งเป็นค่าเช่าSever ค่าโปรแกรมดูแลห้อง ค่าเช่าบ๊อท(โปรแกรมอำนวยความสะดวก และดูแลห้อง) แต่รูปแบบของ"สังคมออนไลน์"ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว

เมื่อผมตัดสินใจที่จะลองศึกษาเจ้าโปรแกรมตัวนี้เนื่องด้วยเหตุผลที่ต้องการสร้างสังคมออนไลน์ของกลุ่มคริสเตียนวัยรุ่นขึ้น แต่ไฉนเลยจะไม่เข้าไปสัมผัสด้วยตัวเอง ก็จัดการโหลดโปรแกรมมาลงที่เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัว แล้วก็หาห้องที่จะเข้าไป"ฝังตัว" โดยปกติห้องแคมฟ๊อกสำหรับคนทั่วไปมี 2 กลุ่มคือ กลุ่มGeneral และห้อง 18+  เจ้าห้องที่เป็นข่าวและเป็นปัญหาสังคมก็อยู่ในกลุ่มของ 18+ นี่แหละครับ คือห้องเฉพาะคนที่อายุ 18ปีขึ้นไปถึงเข้าได้ ส่วนผมเคยลองเข้า 18+ ครั้งนึง ก็ค่อนข้างล่อแหลมมากครับ เป็นที่รู้กันว่า กลุ่มคนที่เข้ามาใช้ห้องในกลุ่ม 18+ เน้นเรื่อง Sexเป็นหลักใหญ่ คือการเข้ามาหาเพื่อนต่างเพศ มาจีบกัน และมาแสดงโชว์เต้นยั่วยวนกัน สำหรับคนที่ไม่รู้อาจจะตกใจ แต่มันคือโลกของสังคมออนไลน์ที่เราต้องรู้ไว้ครับว่ามันมีจริงๆ

ผมจึงเลือกกลุ่ม General เพื่อความปลอดภัยต่อชีวิต(ฝ่ายวิญญาณ)ของผมเอง แล้วก็ได้ห้องหนึ่งที่ติดอันดับ 1/3 ที่มีผู้เข้ามาใช้มากที่สุด เพราะบังเอิญได้รู้จักกับเจ้าของห้อง ผมเริ่มเล่นโดยพยายามฟื้นความรู้เดิมๆสมัยที่ใช้Pirch คือพยายามทักทายคนในห้องก่อน แต่สิ่งที่ต่างออกไปก็คือ เจ้าโปรแกรมCamFrogมันพัฒนาจากPirch ไปมากมาย จนผมแทบจะต้องเรียนรู้ใหม่ในหลายๆอย่าง ไว้ผมจะมาเล่นละเอียดในตอนหน้าครับว่า ผมเริ่มอย่างไร และระหว่าง 4วันที่ผ่านมาผมเจออะไรบ้าง ตอนนี้ผมเรียกได้ว่า "เกือบติด" เจ้าโปรแกรมตัวนี้ซะแล้วครับ

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2552

ผมขับรถหลุดเข้าไปในกลุ่มเสื้อแดง

หยุดเขียนไป 3วันเพราะผมกำลังติดตามสถานะการณ์เสื้อแดงอย่างใกล้ชิดครับ

ที่จริงตั้งแต่ผมเกิดมา ผมเคยมีส่วนร่วมกับเหตุุการณ์ทางการเมืองหลายๆครั้ง อย่างใกล้่ที่สุดก็คือเหตุการณ์พฤษภาทมิฬเมื่อปี 35 ตอนนั้นผมกำลังรอผลการสอบเอ็นทรานส์พอดี แล้วก็สรุปว่าสอบได้ที่มธ. แล้วเขานัดรายงานตัววันที่ 15-18 พฤษภาคม แต่บังเอิญก็เกิดเหตุการณ์ประท้วงรัฐบาลของพลเอกสุจินดาตอนนั้น ผมอยู่ที่บ้านของเพื่อน มีการยิงกัน และสลายการชุมนุมด้วยทหาร ผมเกือบจะออกไปแล้วในคืนนั้นแต่รู้สึกเหนื่อยก็เลยไม่ได้ออกไป

ครั้งนี้ก็ถือได้ว่าผมได้เผชิญกับสถานะการณ์ที่จวนตัวสุดๆกับ การประท้วง ม๊อบ หรือแทบจะเรียกได้ว่าใกล้เคียงกับการจราจลมากที่สุดจากกลุ่มเสื้อแดง

คือวันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมมีหน้าที่ ที่สยามยูธเซนเตอร์ตอนประมาณสี่โมงเย็น บ้านของผมอยู่ที่บางนา การไปสยามฯสแควร์ใกล้ที่สุดก็คือวิ่งไปตามถนนสุขุมวิท ตรงไปเรื่อยๆ ไม่รู้เรื่องเลย กว่าจะรู้สึกตัว ก็หลงเข้ามาในกลุ่มเสื้อแดงแล้ว รถข้างหน้าก็หายไป ข้างหลังก็ไม่มี อ้าว ซวยเรย..........

เกือบออกมาไม่ได้ ดีที่ไม่ได้ใส่เสื้อสีเหลืองครับ เลยรอดตัวไป

สำหรับผมคงไม่มีสีอะไรครับ ถ้าเห็นเมืองไทยลุกเป็นไฟขนาดนี้

วันนี้เขียนแค่นี้ครับ ขออธิษฐานเผื่อประเทศไทยก่อนครับ

ที่จริงมีเรื่องอยากจะเขียนถึงหลายเรื่องเลย แต่ขอพักสักสองสามวันให้สถานะการณ์สงบก่อนครับ

วันเสาร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2552

เมื่อคนหัวเราะเยาะเรา... เราจะตอบสนองอย่างไร




วันนี้ได้รับรู้เรื่องราวนึงมาครับ ซึ่งทำให้ผมมีสติ และเชื่อว่าพระเจ้าตรัสสอนอะไรเราบางอย่างในเวลาที่เหมาะสมเหลือเกิน เพราะถ้าเรื่องราวนี้เกิดขึ้นกับผมในเวลาอื่น ผมคงไม่ได้ตอบสนองแบบอย่างที่ทำอยู่ในวันนี้ครับ

เมื่อสักสองสามวันที่แล้ว ผมมีโอกาสได้กลับไปประชุมงานๆหนึ่งในกลุ่มขององค์กรที่ผมเคยรับใช้ด้วย จริงๆแล้วผมไม่จำเป็นต้องไปประชุมด้วยก็ได้เนื่องจากผมไม่ได้เป็นสมาชิกที่เกี่ยวข้องด้วยแล้ว แต่เพราะอาจารย์เพื่อนผู้รับใช้ท่านนึงที่ผมนับถือกันได้ชวนมาร่วมประชุมเพราะเห็นว่าเนื้อหาการประชุมเป็นเรื่องของอนุชนที่ผมมีความถนัดและรับใช้พระเจ้าในด้านนี้อยู่มาเป็นเวลานาน เผื่อผมจะมีข้อคิดดีๆเป็นประโยชน์สำหรับที่ประชุมบ้าง

ผมก็ยินดีที่จะได้เข้าร่วมประชุมด้วยครับ จึงสละเวลานัดอื่นๆเพื่อไปเข้าประชุม แล้วก็อยากนำเสนอไอเดียใหม่ๆสำหรับงานพันธกิจของอนุชนในปี 2009 ซึ่งต้องยอมรับเลยว่า โลกของวัยรุ่นนั้นหมุนเร็วไปกว่าโลกหลายเท่านั้น ทั้งสื่อเอย ดิจิตอลเอย ทัศนคติ แฟชั่น ฯลฯ จนทำให้คนที่อายุ 34อย่างผมถึงกับตกยุคไปแล้ว ถ้าไม่ได้ติดตามพวกวัยรุ่นเหล่านี้อย่างใกล้ชิด (อย่านับอาจารย์ที่อาวุโสเกิน 45ไปแล้วเลยครับ วิ่งตามวัยรุ่นเหล่านี้ไม่ทันแน่ๆ)

พันธกิจที่เขากำลังประชุมกันกล่าวถึง การที่จะให้องค์กรของเขานั้นเป็นศูนย์กลางในการจัดงานที่รวบรวมกลุ่มของผู้นำคริสเตียนวัยรุ่นประเทศเพื่อนบ้านของเราเช่น พม่า เขมร ลาว เวียดนาม และมาเลเซียมาฟื้นฟู หนุนใจ โดยที่มีประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง โดยจัดงานตามตะเข็บชายแดนด้านต่างๆเช่น ทางลาวก็ใช้จังหวัดหนองคาย ทางเขมรใช้บุรีรัมย์ ทางพม่าใช้จังหวัดตากหรือระนอง ทางมาเลเซียใช้ยะลาเป็นต้น ซึ่งเนื้อหาการประชุมผมคงไม่ได้เล่าให้ฟัง แต่เมื่อถึงช่วงหนึ่งผมมีโอกาส จึงได้ขอเสนอไอเดียที่ตอนนี้ผมกำลังทำอยู่ เผื่อจะได้มาJoinกันกับงานขององค์กรนี้ ด้วยความปรารถนาดีจริงๆ

แต่เมื่อได้นำเสนอเสร็จแล้ว กลับถูกผู้นำบางท่านกระโดดขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงไอเดียของผมทันที ทำให้ผมที่มีความปรารถนาดีจริงๆ กลายเป็นตัวตลกของที่ประชุมไป!!! ถามว่าตอนนั้นผมรู้สึกอย่างไรเหรอครับ ผมตอบว่า ....ผมไม่รู้สึกครับ :) เพราะผมคิดว่าสิ่งที่ผมทำนั้นออกมาจากใจ ไม่มีสิ่งอื่นใด และคิดว่าถ้าจะเป็นประโยชน์ได้กับงานขององค์กรหรือหน่วยงานใดก็ยินดี แต่ถ้าไม่ได้ ก็ไม่ได้คิดหรือคาดหวังอะไร เพราะตัวของงานที่ผมทำอยู่มันก็เป็นประโยชน์ต่ออีกหลายๆคนอยู่แล้ว และมีหลายฝ่ายที่ต้องการสิ่งที่ผมได้เริ่มทำ ซึ่งเคยมีคนที่พยายามทำแต่ไม่สำเร็จ..........

พอจบจากการประชุมนั้นออกมา ผมก็ลืมเรื่องนี้ไป จนมาวันนี้ มีพี่น้องคนรับใช้ใกล้ชิดท่านนึง ที่ได้เข้าประชุมงานนั้นมาเล่าให้ผมฟังว่า หลังจากงานประชุมนั้น เรื่องไอเดียโครงการของผม เป็นที่พูดกันในกลุ่มผู้นำผู้รับใช้สองสามคน(ที่มีอิทธิพลมาก)ว่า..........ผมเป็นตัวตลก ที่ขึ้นไปโชว์ความโง่ และถูกฆ่าบนหน้าที่ประชุม........... โอ้ พระเจ้า ......ไม่น่าเชื่อว่าผู้นำที่ผมนับถือกลับหัวเราะเยาะผม จากความต้ังใจดีของผมเสียได้.......

แทนที่ผมจะรู้สึกโกรธ ขอบคุณพระเจ้าที่ผมไม่รู้สึกเช่นนั้นครับ แต่ทำให้ผมพบว่า นี่คือสัญญาณที่มาจากพระเจ้่าอย่างชัดเจนว่า ผมตัดสินใจถูกแล้วที่ไม่ได้ร่วมรับใช้กับองค์กรนี้อีก และผมเดินมาถูกทาง เพราะอะไรทราบไหมครับ............ไอเดียกันนี้ เมื่อวานนี้เอง ผมได้มีโอกาสคุยกับผู้นำท่านหนึ่ง ได้นำเสนอเหมือนกัน แต่การตอบสนองต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผู้นำท่านนี้มีวิสัยทัศน์และมองเห็นว่า สิ่งที่ผมทำถ้าดูเผินๆ จะเป็นงานที่ยาก แต่ว่า.......นี่ที่เรียกว่า"บุกเบิก" ซึ่งพระเจ้าเรียกผมให้ทำไม่ใช่เหรอ?.....

พระเจ้าตรัสกับผมคำนึงเมื่อไม่กี่วันมานี้ว่า "จงพาพระเยซูไปในที่ๆพระองค์ยังไม่เคยไป ทำในที่ๆพระองค์ยังไม่เคยทำ"   นี่คือพันธกิจบุกเบิกครับ.............. อาจารย์ท่านนี้ตอนนี้ท่านเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของงานพันธกิจที่ผมทำอยู่ครับ.....

ขอบคุณพระเจ้าที่ผมมาถูกทาง เมื่อผมรอคอยพระองค์....พระองค์ทรงชี้ทาง.....

เมื่อสิ่งหนึ่งที่คนหัวเราะเยาะคุณ แต่พระเยซูอาจจะทรงกำลังยิ้มชื่นชมคุณอยู่ก็ได้ครับ

สุภาษิต 3:34 พระองค์ทรงเยาะเย้ยคนที่มักเยาะเย้ยแต่พระองค์ทรงสำแดงพระคุณแก่คนใจถ่อม..

วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2552

คุณเป็นคนแบบไหน เมื่อคุณเห็นคนถูกรถชนตรงหน้า...




วันนี้มีบททดสอบความเป็น "ชาวสะมาเรียใจดี" หรือ "ฟาริสีใจดำ"

เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับน้องชายของผมคนหนึ่ง วันนี้ประมาณสี่โมงเย็นขณะที่ผมกำลังประชุมงานกับเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน ก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้นจากน้องชายที่สนิท
น้องชาย : " พี่เกี๊ยงครับ ผมรบกวนหน่อย ผมขอยืมเงิน....5,000บาทครับ"
ผม : "อ้าว เรื่องเป็นยังไงมายังไงหละ เล่าให้ฟังหน่อยสิ"
น้องชาย : "พี่อย่าเพิ่งถามผมเลย พี่มีเงินหรือเปล่าครับ เรื่องฉุกเฉิน"
ผม : "ตอนนี้พี่ไม่มีเงินหรอก แต่เดี๋ยวจะโทรไปถามพี่เม๋ภรรยาพี่ว่าเขามีให้ไหมตอนนี้ แต่ว่า เล่าให้ฟังได้ไหมว่าเรื่องอะไรที่ฉุกเฉิน เผื่อพี่จะได้ไปช่วยเหลือ"
น้องชาย :"ผมเล่าตอนนี้ไม่ได้พี่ แต่ว่าพี่ไม่มีเลยเหรอ"
ผม :"เอางี้ พี่ว่าเรื่องนี้ควรโทรบอกแม่ของน้องให้ทราบนะ เพราะแม่ของน้องจะโอนเงินให้ได้สะดวกกว่าครับ เดี๋ยวพี่โทรบอกให้ไหม"
น้องชาย : "โหเป็นไรพี่ ขอบคุณครับ  อย่าดีกว่า............" แล้วก็วางหูไป

ผมได้แต่ งง แล้วก็เป็นห่วง แล้วก็คิดไปต่างๆนานาว่า เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่ร้ายแรง 
เพราะน้องคนนี้เคยมีประวัติติดพนันบอล...มีเรื่องมีราวกับอันธพาล ขึ้นโรงพัก มาแล้ว ผมจึงได้โทรไปบอกทางแม่ของเขาให้ทราบเรื่องแล้ว แล้วก็โทรบอกภรรยา เราต่างโทรเช็คกันให้วุ่น แล้วในที่สุดทางแม่ของน้องชายเขาก็โอนเงินไปให้จำนวนหนึ่ง

พอตอนค่ำ ได้เจอน้องชาย (เขาพักที่แถวบ้านของผม) ก็เลยเรียกมาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้น น้องเขาก็เดินมาด้วยหน้าตาเรียกว่าได้เซ็งๆ ถามก็ได้ความว่า วันนี้พอดีขณะที่ขับมอเตอร์ไซต์กลับบ้าน เจอคนประสบอุบัติเหตุรถชน(ผมถามว่าชนอะไรยังไงก็ไม่เล่ารายละเอียดให้ฟัง ผมก็ไม่ได้เจาะประเด็นนั้น) ก็เลยรีบเข้าไปช่วยแทนที่จะไม่สนใจเพราะผมเพิ่งกลับจากค่ายฯมา แล้วพอพาไปโรงพยาบาล หมอต้องการเงิน(ผมก็งงว่าทำไมไม่โทรหาญาติๆของคนป่วย) เขาก็เลยต้องการเงินฉุกเฉินก็เลยโทรมายืมเงิน...  ผมก็ถามว่าอ้าวทำไมไม่เล่าให้ฟังว่าเรื่องเป็นอย่างนี้หละ  น้องเขาตอบว่า ผมจะเล่าไปทำไม ยังไงพี่ก็ไม่ช่วยอยู่แล้ว!!!!!!

ผมได้ยินถึงกับสะอึก แล้วอึ้งไป..................... ทำไมน้องเขาถึงได้รีบตัดสินเราอย่างนั้น...... 
ผมก็อธิบายว่า 
  1. ตอนนั้นพี่ไม่มีเงินเลย 
  2. พี่ก็ควรมีสิทธิที่จะทราบเรื่อง เผื่อจะได้ขับรถไปช่วยเหลืออะไรตรงนั้นเลยก็ยังได้ 
  3. ทำไมพี่จะไม่เห็นความสำคัญ พี่ถึงกับโทรกันให้วุ่นเพื่อหาทางช่วยเหลือ
แล้วสุดท้ายน้องเขาก็สรุปว่า "ผมว่าตรงๆเลย ถ้าพี่ไว้ใจผมพี่จะไม่ถามผมหรอกว่าจะเอาเงินไปทำอะไร"

ผมสะอึกครั้งที่สอง ...........เรื่องนี้มาวัดใจเรา หรือตัดสินเราว่าเราไม่ไว้ใจเขาเหรอ...........
ผมก็พูดว่า "ประเด็นว่าไว้ใจหรือไม่ไว้ใจ มันตัดสินอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าพี่มีเงินตรงนั้น แล้วถ้าเรื่องคอขาดบาดตายทำไมพี่จะไม่ช่วย มากกว่านี้พี่ก็เคยช่วยเรามาแล้วไม่ใช่เหรอ....... แต่เพียงแค่พี่ขอมีสิทธิรู้...เท่านั้น"

แต่พูดไป ก็คิดว่า สิ่งที่เป็นปัญหาคือ "ทัศนคติ"ของน้องเขาที่มีต่อเรา มันตัดสินไปแล้ว....เปรียบเหมือนว่าผมเป็นฟาริสีใจดำ.... น้องเขาบอกว่า "ถ้าผมบอกไปพี่จะช่วยเหรอ พี่ก็ไม่ช่วยอยู่ดี"......

เรื่องนี้ยาวครับ ..............สุดท้ายยังไง ผมก็บอกเขาว่า ผมชื่นชมในความเป็นคนมีน้ำใจของเขา แม้ว่าเขาก็ไม่มีเงินเลยก็ตาม เป็นชาวสะมาเรียใจดี แต่ก็ไม่ควรตัดสินคนอื่นว่าเป็น ฟาริสีใจดำด้วย

โลกใบนี้ทุกวันนี้มีเรื่องอะไรร้ายๆเกิดขึ้นเยอะครับ เด็กขอทาน เด็กเช็ดกระจกตามสี่แยก เด็กขายพวกมาลัย ดอกไม้ตามร้านอาหาร เด็กจรจัดแถวหัวลำโพง ไม่นับเด็กพิการซ้ำซ้อน ปัญญาอ่อนตามมูลนิธิต่างๆ การที่เราจะเลือกช่วยเหลือที่ใด อย่างไร เท่าไหร่ หรือยังไง มันก็เป็นสิทธิของเราที่จะทำ พระเจ้าไม่เคยบังคับในสิ่งนี้ เพียงแต่ความมีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายในก็ทำให้เราแต่ละคนเป็นคนที่มีจิตใจ "อ่อนโยน" และ "เมตตาช่วยเหลือ"ผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากอยู่แล้ว

ถ้าวันนึงคุณเดินไปเจอขอทาน คุณจะให้เงินเขาไหม......
คุณเดินไปเจอเด็กจรจัด ขอตังค์กินข้าวคุณจะให้เขาไหม........
วันนึงถ้าคุณเดินไปเจอคนประสบอุบัติเหตุ คุณจะรีบเข้าไปช่วยเขาไหม......... อย่างไรหละ... 
ตอบกันเองครับ..........

วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2552

งานอีเว้นท์คริสเตียนอีกแล้วเหรอเนี้ยะ!!!ภาค2



ต่อจากเมื่อวันก่อนที่ผมมีโอกาสได้พูดถึงบรรดางานอีเวนท์ หรือกิจกรรมของพวกเราคริสเตียนที่มีออกมามากมายในแต่ละเดือน แต่ละสัปดาห์จนทำให้เป็นปัญหาว่า "จะไปงานไหนดี?" จนบางทีหลายโบสถ์อาจจะออกมาตรการจากศบ.หรือผู้นำว่า ถ้าจะไปงานไหนให้มาบอกหรือขออนุญาตกันก่อนเลยทีเดียว

แต่สำหรับผมกลับมองในแง่ดีกว่า ในสมัยก่อน กว่าจะมีงานเหล่านี้สักครั้งนึง ต้องรอกันเป็นปี ปีนึงมีไม่กี่งาน แต่เดี๋ยวนี้มีให้เลือกเยอะ มีหลายกลุ่มหลายองค์กรจัดกัน แยกออกเป็นประเภทต่างๆดังนี้

1. งานฟื้นฟู หรือที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Revival งานเหล่านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการฟื้นฟูใจของผู้มาร่วมงานให้กลับเข้มแข็งในฝ่ายวิญญาณมากขึ้น มารับพลัง กำลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือไปจนถึงการรับการชำระใหม่ กลับใจใหม่ ซึ่งบรรยากาศในงานแบบนี้จะเน้นที่การนมัสการอย่างลึกซึ้ง และการเทศนาอย่างเข้มข้นร้อนรน เสร็จแล้วก็จะมีการอธิษฐานวางมือ งานฟื้นฟูมักจะจัดตั้งแต่1-3วัน มีหลายรอบ พวกงานรายปีใหญ่ๆก็มีพวกงาน คองเกรส เป็นต้น

2. งานคอนเสริต งานประเภทนี้จะเน้นไปที่เสียงเพลง และดนตรีเป็นหลัก ซึ่งรูปแบบของงานก็แล้วแต่ผู้จัด อาจจะเป็นวงดนตรีหลายวงเล่นหลายแนวแล้วแต่จะจัดมา เหมือนงานBangkok Call หรือวงดนตรีวงเดียว แต่อาจจะขึ้นร้องหลายคนเช่นคอนเสริต The Oneของกลุ่มพี่ปุ๊อัญชลี งานนี้จะเน้นไปการหนุนใจผู้เชื่อ หรือการประกาศกับผู้ที่ยังไม่รู้จักพระเยซู
3. งานตามเทศกาล งานประเภทนี้ก็จะจัดตามเทศกาลต่างๆ โดยส่วนใหญ่ที่จัดก็คือเทศกาลที่เกี่ยวข้องกับคริสตศาสนา ไล่ตั้งแต่ต้นปีมา เช่น วาเลนไทน์, อีสเตอร์, ThanksGiving  และคริสตมาสต์ เป็นงานที่นอกจากเฉลิมฉลองกันภายในกลุ่มของคริสเตียนแล้วก็ยังเปิดโอกาสให้คนที่ไม่รู้จักพระเจ้าเข้าร่วมด้วย จะได้ถือโอกาสประกาศไปด้วยกัน ล่าสุดที่จัดกันประจำก็คือ งานอีสเตอร์ ที่จัดที่สวนลุมพีนี งานตามเทศกาลจะเป็นการเฉลิมฉลอง รื่นเริงเป็นหลัก และมีรูปแบบเป็นทางการเฉพาะช่วงพิธีที่เข้าสู่ความหมายของเทศกาลเท่านั้น

ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ เมื่อมีงานเหล่านี้จำนวนมากในแต่ละปี กลุ่มผู้จัดก็เยอะ คนที่เกี่ยวข้องก็มาก ทั้งการมาเป็นทีมงานก็ดี หรือมาเป็นผู้เข้าร่วมก็ดี ต้องตัดสินใจให้ดีนะครับ ไม่อย่างนั้นอาจจะกระทบต่องานพันธกิจประจำที่เราทำอยู่ในคริสตจักรที่เราสังกัดกันอยู่ก็ได้ ผมได้ยินหรือได้รับรู้ปัญหาเหล่านี้มาจากบรรดาศิษยาภิบาลหลายคริสตจักรครับ
  • อาจารย์1 : ทำยังไ งดีครับลูกแกะ หรือสมาชิกของผมมัวแต่สนใจออกไปทำงานพวกอีเวนท์ต่างๆแต่ละเลยหรือไม่สนใจงานที่ได้รับมอบหมายในคริสตจักรของตัวเองเล
  • อาจารย์2 : ส่วนของผม พวกนั้นไม่รับงานในคริสตจักรเลยครับ มาโบสถ์พอเป็นพิธี บางสัปดาห์ก็ไม่มาเลยด้วยซ้ำ มัวแต่ไปช่วยตามอีเวนท์ต่างๆ อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นสมาชิกโบสถ์ได้อย่างไร
  • อาจารย์1 : ผมจะตักเตือนก็ไม่ฟัง แถมยังชักชวนให้สมาชิกคนอื่นๆออกไปช่วยเขาอีก ดึงลูกแกะของอีกคนนึงไปเป็นสต๊าฟงาน โดยไม่บอกกล่าวพี่เลี้ยง แทบจะทะเลาะกันตาย ผมหละเหนื่อยจริง
  • อาจารย์2 : ทำไมพวกผู้จัดงานเหล่านี้ไม่สร้างคนของตัวเองมาทำงาน ทำไมต้องมาดึงสมาชิกโบสถ์ออกไปจนทำให้กระทบงานโบสถ์ที่พวกเขาสังกัดเป็นสมาชิกอยู่
  • อาจารย์1 : ครั้นผมจะสั่งห้ามไม่ให้ไปร่วมงาน ก็เดี๋ยวหาว่าใช้สิทธิอำนาจไปกดดันเด็กมันอีก เฮ้อ กลืนไม่เข้า คายไม่ออกจริงๆครับ T_T
  • อาจารย์2 : ผมร้องไห้ด้วยคนครับ T_T
  • ผู้จัดงาน และสต๊าฟ : ทุกคนคือลูกแกะของพระเจ้า ไม่ใช่ลูกแกะของพวกคุณคนเดียว!!!!!
ที่ผมยกตัวอย่างมานี้คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นครับ น่าเศร้านะครับที่งานเหล่านี้แทนที่จะเป็นพระพรแต่กลายเป็นพระเพลิงให้กับคริสตจักรและผู้เลี้ยงที่ทุ่มเทเวลา แรงกาย ทรัพยากรต่างๆกว่าจะสร้างสมาชิกลูกแกะเหล่านี้ให้เติบโต แต่กลับโดนมารซาตานใช้ช่องว่างนี้ ยืมมือคริสเตียนด้วยกันมาฆ่ากันเอง จนทำให้งานที่ดีๆจะเกิดขึ้นก็ยากที่จะได้รับความร่วมมือจากคริสตจักรท้องถิ่นอีก เพราะเขาเหล่านั้นเข็ดจากสิ่งที่เคยเจอมา ต่อไปงานใหญ่ๆจะเกิดขึ้นก็ได้แต่ "ใครคิดคนนั้นทำสิ อย่ามาดึงคนของฉันออกไปทำ"
เมื่อพระกายแตกแยกออกแล้ว ขาจะวิ่งข้างเดียวได้หรือครับ ถ้าอีกข้างนึงไม่วิ่งด้วย เราทำทุกอย่างเองไม่ได้หรอกครับพี่น้อง

ฉะนั้นให้เรื่องนี้ที่ยกมาเป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้จัดงานต่างๆ ต้องระมัดระวังเรื่องการกระทบกระเทือนความรู้สึกของคริสตจักรท้องถิ่นที่คุณจำเป็นจะต้องขอความช่วยเหลือให้มากครับ ติดต่อประสานงานกับอาจารย์ ศิษยาภิบาลให้ดี และรายงานเรื่องที่ควรจะรายงานทุกเรื่อง เพื่อสร้างความสบายใจและไว้วางใจให้เกิดขึ้นครับ ไม่อย่างนั้น คุณจะได้จัดงานนี้เพียงครัังเดียวเท่านั้น ..........งานหน้าอาจจะเหลือคุณทำเพียงคนเดียวที่ทำ.....

วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2552

ถ้าคุณนอนหลับแล้วตื่นขึ้นมา คุณพบว่าคุณตกรุ่นไปแล้ว..ทุกวัน







ผมเป็นคนใช้อินเทอร์เน็ตมาตั้งแต่ยุคแรกๆนั่นคือตอนที่ผมเป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ ประมาณปี2538 ซึ่งก็ประมาณ14ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมมีเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ ซึ่งต้องเข้าไปใช้คอมฯในห้องLab ของมหาวิทยาลัย แล้วบังเอิญที่ทางมหา'ลัยได้ต่ออินเทอร์เน็ตไว้...

ผมเข้าสู่โลกของอินเทอร์เน็ตโดยใช้โปรแกรมNetscape ซึ่งเป็นเว็บบราวเซอร์ที่ดังมาก่อนIEของไมโครซอฟท์ซะอีก แต่จำไม่ได้แล้วว่าเข้าไปดุเว็บอะไรเป็นเว็บแรก แต่นั่นก็ทำให้รู้สึกว่า โห โลกของเรามันเล็กลงเสียแล้ว

เวลาเพียงแค่สิบกว่าปี ทุกอย่างมันหมุนไปไวมาก ถ้าเราไม่สังเกต จะพบว่า ไม่ถึง 20ปีมานี้ โลกของการสื่อสาร ได้เข้ามาจนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเราไปหมดแล้ว สมัยก่อนคนมีโทรศัพท์มือถือสักเครื่อง เดินถือกันให้เท่ห์ แต่ปัจจุบัน มีน้องสาวผมคนนึงเพิ่งมาเล่าให้ฟังว่า : "พี่เกี๊ยง รู้ป่าวว่าต่อไปนู๋จะไม่ให้เงินขอทานอีกแล้ว" 
ผม : "อ้าว ทำไมอะ ขอทานก็น่าสงสารออก นู๋เป็นคนขี้สงสาร ชอบให้ทานตลอดไม่ใช่เหรอ"
น้อง : "ก็คืองี้พี่ นู่ไป The Mallมาใช่ปะ แล้วก็เจอขอทานที่สะพานลอยอะ น่าสงสารมาก เนื้อตัวมอมแมม ขาก็ขาด นอนไม่รู้ตัวเลย ตรงนั้นร้อนก็ร้อน"
ผม : "อื้อ น่าสงสารจะตาย"
น้อง : "มันก็ใช่อะพี่ นู๋เห็นก็สงสาร ก็เลยให้ทานไปตามระเบียบอะ ที่จริงนู๋เหลือเงิน20บาทเอง จะขึ้นรถกลับบ้าน ก็ให้ไป 10บาท เหลือค่ารถเมล์ 10บาท"
ผม : "โห ใจบุญมั้กๆ"
น้อง : "แต่หลังจากตอนนั้นนู๋อยากจะทำบาปมากเลยพี่ อยากฆ่าขอทาน"
ผม : "ใจเย็นๆ^^"
น้อง : "ก็พอนู๋หย่อนเงินลงไปในขัน มันก็มีเสียงโทรศัพท์เพลงหยั่งซี้มันต้องถอนๆ ขอทานมันก็งัวเงียขึ้นมาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงขาดๆของมัน เอามือถือNokiaรุ่น N79 ราคาเป็นหมื่น นู๋ยังใช้I-mobile ราคาสองพันเอง เจ็บใจๆๆ"
ผม :"......"

สำหรับพวกเรา และคนยุคใหม่ในปี 2009 นี้ ผมคิดถึงว่าในสังคมไทย คนส่วนใหญ่คงจะเข้าไปอยู่ในโลกของไซเบอร์กว่า 50% แล้ว ด้วยความที่ผมมีกิจการร้านอินเทอร์เน็ต ผมพบว่า คนใช้คนงานพม่าก็เข้ามาใช้อินเทอร์เน็ต ตอนนี้อะไรก็คงหนีไม่พ้นกระแสของ Hi5 ที่คาดว่าทุกคนคงจะมีเป็นของตัวเอง

Hi5 เป็นปรากฎการณ์่ของสังคมไซเบอร์ที่เชื่อมกับโลกของความเป็นจริง แต่ยังมองว่าสังคมออนไลน์ของคนไทยก็ยังตามประเทศอื่นๆในโลกอยู่(เขามีใช้กันมาไม่ต่ำกว่า4-5ปีแล้ว ในรุปแบบของfacebook)

สิ่งที่ทำใ ห้ผมอยากเขียนถึงเรื่องนี้ก็เพราะวันนี้ผมได้เข้าไปอ่านบทความใน ผู้จัดการไซเบอร์ http://www.manager.co.th/CBizReview/ViewNews.aspx?NewsID=9520000029750
เรื่องของ Twitter ซึ่งกำลังเกิดขึ้นและมาแรงมากในสังคมไซเบอร์ทั่วโลก ผมก็คิดว่า ของเก่ายังใช้ไม่เป็นเลย ของใหม่มาอีกแล้ว ^^" โอยเหนื่อย..........

สังคมคริสเตียนก็พยายามจะเข้ามามีส่วนในโลกของไซเบอร์ตั้งแต่แรกเริ่ม แต่เท่าที่ผมเห็นก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ ตั้้งแต่ความพยายามที่จะตั้งเว็บไซต์ Christianthai.com ซึ่งผมก็มีส่วนในการร่วมตั้งในยุคแรก(ปัจจุบันก็ยังไม่มีอะไรมากไปกว่าสิบปีที่แล้ว) เว็บอื่นๆก็ขึ้นมาแล้วก็ตายจากไป

แต่ขอบคุณพระเจ้า ตอนนี้ก็พอจะเริ่มมองเห็นแสงสว่างในความมืดเมื่อผมเริ่มได้รับจดหมายข่าวจาก "ข่าวคริสตชน" www.kaochristian.com มาสัก3เดือน ซึ่งมีเนื้อหาเป็นข่าวคริสเตียนทั่วไปทั้งจากไทยและต่างประเทศ ผมมองเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีที่จะทำให้เกิดสังคมของคริสเตียนไทยบนโลกไซเบอร์เกิดขึ้น แต่ก็นั่นหละ ที่ผมได้แต่คาดหวังและอธิษฐานเผื่อ เพราะผมรอมาสิบกว่าปีแล้ว 

ล่าสุด ผมคิดถึงโปรแกรม Camfrog กับเพลงคริสเตียน จะเป็นไปได้ไหมที่จะทำห้องChat ขึ้นมาผ่านโปรแกรมนี้ และเปิดเพลงทั่วไป+เพลงคริสเตียน ดีเจคือพวกเราคนรุ่นใหม่นี่หละ มีหลายช่วงหลายประเด็นที่นำมาพูดคุยกันพร้อมกับความบันเทิงควบคู่ไปด้วย (อะอะ....ระวังนะครับ พวกห้อง 18+อันตรายมาก)
ใครสนใจลองเล่นดุนะครับ ผมคิดว่าจะเปิดห้องCamfrogภายในเดือนเมษายนนี้
ดาวน์โหลด camfrog http://download.camfrog.com/

จากที่เล่ามา ทำให้เห็นว่า นี่คือความน่ากลัวในความเร็วของการพัฒนาไปในโลกเทคโนโลยีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกอินเทอร์เน็ต ถ้าคุณอายุอยู่ระหว่าง10-35ปี ซึ่งเป็นกลุ่มผู้่ใช้อินเทอร์เน็ตหลักในโลกนี้ (ร้อยละ80%) ระวังนะครับ คุณอาจจะตกข่าว หรือตกรุ่นเมื่อคุณตื่นนอนมา ชาวโลกเขาไปไหนหมดแล้ว !!!! ... ใช่ ชาวโลกนี่แหละที่พระเยซูบอกให้คุณประกาศ และสั่งสอนเขาให้เป็นสาวกของพระองค์
ถ้าคุณวิ่งไม่ทันชาวโลก คุณจะประกาศกับใครหละ???

วันเสาร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2552

ประวัติ และข้อมูลของ Hillsong United















Hillsong United คือกลุ่มพันธกิจวัยรุ่นของคริสตจักรHillsong เป็นพันธกิจวัยรุ่นที่ประกอบไปด้วยกลุ่มที่แตกต่างกันไป 4กลุ่มที่มีการพบปะแยกกัน แต่จะมีคืนมารวมกันที่เรียกว่า “United” แบ่งออกเป็นกลุ่มดังนี้คือ Fuel สำหรับอายุ7-9ปี, Wildlife อายุ10-12ปี, Powerhouse อายุ18-25ปี และ Frontline อายุ25-35ปี 

ประวัติ 
มีการเปิดคริสตจักรในปี 1983ซึ่งตอนนั้นใช้ชื่อว่า Hills Christian Life Centre กลุ่มอนุชนจึงเริ่มขึ้นโดยมีศบ.อนุชนคนแรกชื่อ Darko Culjak ซึ่งเป็นกำลังนักศึกษาวิทยาลัยพระคริสตธรรมในตอนนั้น ส่วนคนต่อมาชื่อว่า Donna Crouch ได้รับการแต่งตั้งในปี 1987 ในปี1996จึงมีศบ.อนุชนที่เป็นคู่สามีภรรยาที่ชื่อ Phil และ Lucinda Dooley และในตอนนั้นเองที่กลุ่มอนุชนได้แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือ Wildlife และ Powerhouse และต่อมาหลังจากการฟื้นฟูในค่ายฤดูร้อนในปี 1998 กลุ่มพันธกิจอนุชนก็เริ่มมีการประชุมร่วมกันของทั้งสองกลุ่มที่เรียกว่า United Night นี่คือที่มาของพันธกิจวัยรุ่นที่ชื่อ “Hillsong United” 

เมื่อ Sydney Christion Life Centre กลายมาเป็น City Campus ของคริสตจักรHillsong พวกเขาก็รับเอารูปแบบของกลุ่ม Hillsong United มาใช้ต่อ โดยในปี2007 Paul and Andi Andrew ได้เข้ามาเป็นศบ.อนุชนคนใหม่ โดย Phil และ Lucinda Dooley ได้ย้ายไปที่อื่น ในเดือนมีนาคม2008 Hillsong United ได้ออกอัลบั้มเพลงรวมฮิตของพวกเขาเป็นชุดแรกที่เรียกว่า “The I Keart Revolution: With Hearts As One” ซึ่งประกอบไปด้วยซีดีสองแผ่น 

ดนตรี Hillsong United 
หลังจากค่ายฟื้นฟูฤดูร้อนในปี1998 ทีมนมัสการของพันธกิจวัยรุ่นได้เริ่มเขียนเพลงและได้ออกอัลบัมที่ชื่อ Everyday ในปี1999 ตั้งแต่เวลานั้นมา ทีมนมัสการHillsong United ได้ออกอัลบั้มทุกปีและเริ่มมีชื่อเสียงขึ้น จากการเล่นตามถนนในเมืองซิดนีย์ ทีมฯก็ไปสู่การเล่น World Tour และการประชุมที่มีผู้เข้าร่วมนับพันคนในที่ต่างๆทั่วโลก วงHillsong United ในปัจจุบันนำโดย Joel Houston ซึ่งเป็นลูกชายของ Brian Houston ศบ.อาวุโสของคจ.Hillsong โดยมีศบ.ของHillsong Unitedคือ Chrishan and Danielle Jayeratnam

วงดนตรี Hillsong United 
วง Hillsong United เป็นวงดนตรีนมัสการแนวRockชาวออสเตรเลีย เป็นส่วนหนึ่งในพันธกิจอนุชน Hillsong United ของคริสตจักรHillsong ดนตรีของพวกเขาเป็นแนวนมัสการRockร่วมสมัย 

ประวัติวง 
กลุ่มผู้ที่ก่อตั้งวงเป็นเพื่อนสนิทกันในพันธกิจอนุชนคริสตจักรHillsong ซึ่งดั้งเดิมเรียกว่า อนุชนPowerhouse ที่นำโดย Donna Crouchเป็นเวลาหลายปี ซึ่งวงนี้ทำหน้าที่เป็นวงนมัสการสำหรับการประชุมในกลุ่ม Powerhouse นักดนตรีในวงHillsong United ก็อยู่ในทีมพันธกิจดนตรีของคริสจักรHillsongด้วย
Reuben Morgan อยู่ในวงดนตรีของกลุ่ม Powerhouse ส่วน Joel Houston และ Marty Sampson อยู่ในกลุ่ม Wildlife ร่วมกับ Luck Munns ซึ่งเป็นมือกลองหลักของวง และ Michael Guy Chislett ที่เป็นมือกีต้าร์หลัก ในฤดูร้อนปี1997 ทีมใหม่ได้สร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ต่อค่ายอนุชนฤดูร้อน คือพวกอนุชนได้ล้วนถูกการเติมเต็มในหัวใจหลังจากกลับจากค่ายครั้งนั้น ซึ่งต่อมาก็ได้เกิดการรวมเป็นหนึ่งเดียวกันในงานพันธกิจอนุชนที่เรียกว่าคืน “United” 

Reuben Morgan ผู้แต่งเพลง “My Redeemer Lives” เป็นคนที่ปูทางสำหรับอนุชนที่รักการนมัสการซึ่งเพลงอื่นๆอีกมากมายนั้นปรากฏอยู่ในอัลบั้ม By Your Sid ซึ่งแต่งโดย Marty Sampson และ Luke Munns
Darlene ZsChech เป็นผู้แนะนำให้ Reubenทำอัลบั้มในปี 1998 หลังจากเพลงมากมายได้ถูกแต่งขึ้นในพันธกิจอนุชน และกลายมาเป็นอัลบั้มขายดีในออสเตรเลีย เพลง Everdayได้ถูกอัดในปี 1999 วงดนตรีก็ได้ออกอัลบั้มทุกๆปี จนในที่สุดได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น Hillsong United ในปี2002 หลังจากที่ Reuben Morgan ได้ก้าวลงจากการเป็นผู้นำนมัสการร่วมของวงฯ Joel Houston ซึ่งเป็นลูกชายคนโตของ Brian Houston ศบ.อาวุโสก็ได้ก้าวขึ้นมานำกลุ่ม Hillsong Unitedร่วมกับ Marty Sampson
สมาชิกของวง Hillsong United ในปัจจุบันคือ Jonathon Douglass (J.D.), Jadwin "Jad" Gillies, Holly Watson, Annie Garratt, Bec Gillies, and Michelle Fragar, Michael Guy Chislett เล่นกีต้าร์ and Matthew Tennikoff เล่นเบส ต่อมา Luke Munns อดีตมือกลองผู้ก่อตั้งวง ได้ออกไปตั้งวงดนตรี Rock/indieที่ชื่อ วงLukas และต่อมา Brooke Fraser ซึ่งเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงในนิวซีแลนด์ก็ได้เข้ามาร่วมวงในอัลบั้ม United We Stand 

CD/DVD ประจำปีของ Hillsong United ได้ถูกบันทึกในช่วงเวลาการประชุม Encounterfest ในเดือนตุลาคมของทุกปี แต่ในปี2007 อัลบั้ม All of the Above ได้เป็นอัลบั้มแรกที่บันทึกในสตูดิโออย่างเต็มรูปแบบเป็น DVD และวงก็เริ่มออกเปิดการแสดงในต่างประเทศ นำการนมัสการกับคนเป็นพันทั้งในอเมริกา ยุโรป และเอเชีย 

หลังจากที่ Marty Sampson ได้แต่งงานกับ Michelle ในเดือนพฤศจิกายนปี 2006 เขาก็ได้ก้าวลงจากหนึ่งในผู้นำนมัสการของวง เขาได้เขียนสองเพลงให้กับ Unitedก่อนที่จะออกมาจากวงซึ่งอยู่ในอัลบั้ม All of the Above คือเพลง Devotion และ Saviour King หลังจากนั้น Brooke ได้มาแทนที่ Marty และกลายเป็นหนึ่งในผู้นำนมัสการของวง ขณะที่ Marty ได้มากลายเป็นส่วนหนึ่งของวงหลัก Hillsong ร่วมกับ Darlene และ Reuben

Live albums 
1999: Everyday
2000: Best Friend
2001: King of Majesty
2002: To the Ends of the Earth
2004: More Than Life
2005: Look to You
2006: United We Stand
2008: The I Heart Revolution: With Hearts As One

[edit]Studio albums
2007: All of the Above

[edit]EPs
1998: One
2007: In a Valley by the Sea
Early 2009: Across the Earth

[edit]Other Albums
2006: Unidos Permanecemos (United We Stand in Spanish)

[edit]DVDs
2004: More Than Life (bonus DVD with album)
2005: Look to You (bonus DVD with album)
2006: United We Stand (bonus DVD with album)
2007: All of the Above (bonus DVD with album)
2008 "The I Heart Revolution: With Hearts As One (Music DVD)"
March 2009 "The I Heart Revolution: We're All In This Together"

[edit]Tours
2007: Hillsong United 2007 Tour
It has been confirmed that Hillsong United will go on tour to the U.S. in 2009. They will host two conferences in Miami, and in Los Angeles. They are also scheduled to play numerous shows in cities throughout the United States.

มีงานดนตรีคริสเตียนอีกแล้ว??

พอดีเพิ่งกลับจากงานพัทยามาเ มื่อวันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม 2009
ไปเล่นสองรอบ สองเวที แต่...ไม่ได้เป็นเวทีใหญ่นะจ๊ะ เป็นเวทีเล็กประมาณ100คน
เป็นงานของอ.มานพ เจ้าของ Watchman ให้เช่าอุปกรณ์เครื่องดนตรี (เ็ป็นชุดเดียวกับที่ไปจัด Bangkok Call และ Hillsong Live in เชียงใหม่)

ก็เลยว่าจะเขียนถึงพวกงาน Event ต่างๆของกลุ่มดนตรีคริสเตียน

พอดีช่วงหลังผมมีโอกาสได้เดินสายเล่นดนตรีตามแต่ละที่ที่จะเชิญไป จะมี2 แ บบคือ 1.งานค่าย 2. งานEvent คอนเสริต
งานประเภทค่าย ก็คือจะมีกลุ่มคริสเตียนจัดค่ายตามรีสอร์ทต่างจังหวัด แล้วจะมีรอบนมัสการวันนึงประมาณ 2-3รอบ งานประเภทEvent คอนเสริต คือ อาจจะจัดเป็นงานฟื้นฟู งานประกาศ แล้วมีหลายๆวงมาเล่น ผลัดกันคนละ 3-4เพลง

ทีนี้ งานที่ผมไปเิดินสายถ้าเป็นประเภทแรกไม่ค่อยมีปัญหาอะไรเพราะเราสามารถรู้เวลาในการขึ้นเล่น รู้ว่าเขามีเวลาให้เราเท่าไหร่ เราก็สามารถที่จะจัดเพลงไปเล่นได้เหมาะกับเวลา แล้วการตอบสนองของคนที่ฟังก็ดีกว่ามากเพราะเป็นคริสเตียน เป็นคนที่รู้จักเพลงอยู่แล้ว ก็สามารถร้องตามและนมัสการพระเจ้าไปด้วยกันได้

แต่ส่วนของพวกงานคอนเสริตต่างๆที่มีวงขึ้นเล่นมากกว่า 2 วงขึ้นไป ปัญหาเกิดทันทีคือ 
  1.  วงที่ได้เล่นมักไม่ตรงเวลา สายมากสายน้อยก็ลุ้นกันไป วงแรกสาย วงสองสาย วงหลังๆยิ่งผิดเวลาทบกันไปใหญ่ ที่น่าสงสารที่สุดคือวงสุดท้ายที่ แทบจะดึกมาก คนดูกลับไปหมด คนเล่นก็ง่วงนอน
  2. วงที่ได้เ่ล่นมักไม่รักษาเวลาที่ได้เล่น เขาจัดให้ วงละ 15 นาที พี่ซ้อมมา 5เพลง พี่ก็เล่นปล่อยเพลงหมด 5 เพลงปาไป ครึ่งชม. วงอื่นก็เซ็งครับ เพราะเวลายิ่งสายกันไปใหญ่ งานที่ผมไปที่อุดรมา พี่แกเล่นปล่อยไป 10เพลง 1 ชั่วโมง ทั้งๆที่เขาให้เล่นแค่ 3-4เพลงเท่านั้น ผมก็พูดอะไรไม่ได้ครับเพราะวงที่เล่นเป็นวงเจ้าถิ่น เราได้รับเชิญไปจากกรุงเทพ แทนที่ผมจะได้เล่นตอน 1ทุ่ม ปาไปนู้น 3ทุ่ม เพราะ วงแรกๆก็สาย กินเวลาเหมือนกัน
  3. คนดูไม่ใช่กลุ่มที่จะตอบสนอง หรือร้องเพลงได้ ส่วนใหญ่ที่อยู่ดูกันก็จะเป็นพวกที่ไปเล่นดนตรีนี่แหละ เล่นเอง ดูกันเอง หรือเล่นอย่างเดียวไม่ดู คือเล่นเสร็จก็กลับเลยเป็นต้น ดังนั้นเวลาเล่นก็จะโหรงเหรง เล่นให้เก้าอี้ดูบ้าง เล่นให้พื้นดูบ้าง หรือบางทีจะมีน้องหมาเดินผ่านมาบ้าง -_-" คนเล่นก็ทำใจไป คิดว่าเล่นให้พระเจ้า พระเยซูดูครับ
วงดนตรีนมัสการที่ได้รับเชิญไปเขาจึงเรียกเวทีหรืองานเหล่านี้ว่า งานปล่อยของ ซึ่งหมายถึงเล่นๆไป เอาสิ่งที่เรามี เอาเพลงที่เราอุตส่าห์ซ้อมไป ไปเล่นจริงเอาไปให้คนอื่นหรือวงอื่นได้ดูกันเท่านั้น อย่าคาดหวังการตอบสนองจากคนดู หรือคิดว่าจะมีผู้ชมจำนวนมากมาร้องเพลงตามเรา หรือช่วยเราร้องแบบงานคอนเสริตพี่เบิร์ด พี่บอย พี่ป๊อดฯลฯ   พยายามพากองเชียร์ไปเยอะๆ หน้าม้าคนกันเอง ขนกันไปให้เยอะ จะทำให้มีกำลังใจในการเ่ล่นมากขึ้นครับ ^^  ขำๆ แต่ก็คือเรื่องจริง

ว่ากันว่า งานประเภทEvent ของอ.มานพจะมีอีกครั้งในกลางปี เห็นว่าจะจัดที่ Central World 7วัน7คืน ผมรักอ.มานพมากนะครับ ทั้งที่ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว(ยอมรับว่าหน้าก็ยังไม่เคยเห็น ได้ยินแต่ชื่อเสียง) ท่านยอมทุ่มเงิน ทุ่มแรง ทุ่มทรัพยากรที่ท่านมีอยู่เพื่อใช้ในงานของพระเจ้า แต่ผมก็สะท้อนในมุมของกลุ่มนักดนตรีคริสเตียนที่ก็ออกเดินสายไปเล่น(ฟรีๆ) เสียค่าเดินทาง ค่าซ้อม ค่าอุปกรณ์(ที่ถอยออกมาเพื่อไว้โชว์ในงาน)เช่นเดียวกัน

ยังไงก็ให้กำลังใจให้สำหรับงานแนวEvent คอนเสริตต่อไปครับ อย่างน้อยผมก็ว่าเป็นเวทีที่ทำให้พวกนักดนตรีคริสเตียนที่อยากเล่นเพื่อพระเจ้า อุตส่าห์ซ้อมกันแล้ว ก็จะได้ออกมาแสดงจริงมั่ง แม้จะไม่ค่อยมีคนดูเหมือนงานแสดงดนตรีทั่วๆไปเท่าไหร่

.....แต่ ผมมีทางออกให้ครับ ติดตามตอนต่อไป


ตามไปดูคลิปวีดีโอวงของผมที่เล่นที่พัทยาได้ที่ hi5 หรือ คลิกดูจาก Youtube ตรงนี้ครับ