เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับน้องชายของผมคนหนึ่ง วันนี้ประมาณสี่โมงเย็นขณะที่ผมกำลังประชุมงานกับเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน ก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้นจากน้องชายที่สนิท
น้องชาย : " พี่เกี๊ยงครับ ผมรบกวนหน่อย ผมขอยืมเงิน....5,000บาทครับ"
ผม : "อ้าว เรื่องเป็นยังไงมายังไงหละ เล่าให้ฟังหน่อยสิ"
น้องชาย : "พี่อย่าเพิ่งถามผมเลย พี่มีเงินหรือเปล่าครับ เรื่องฉุกเฉิน"
ผม : "ตอนนี้พี่ไม่มีเงินหรอก แต่เดี๋ยวจะโทรไปถามพี่เม๋ภรรยาพี่ว่าเขามีให้ไหมตอนนี้ แต่ว่า เล่าให้ฟังได้ไหมว่าเรื่องอะไรที่ฉุกเฉิน เผื่อพี่จะได้ไปช่วยเหลือ"
น้องชาย :"ผมเล่าตอนนี้ไม่ได้พี่ แต่ว่าพี่ไม่มีเลยเหรอ"
ผม :"เอางี้ พี่ว่าเรื่องนี้ควรโทรบอกแม่ของน้องให้ทราบนะ เพราะแม่ของน้องจะโอนเงินให้ได้สะดวกกว่าครับ เดี๋ยวพี่โทรบอกให้ไหม"
น้องชาย : "โหเป็นไรพี่ ขอบคุณครับ อย่าดีกว่า............" แล้วก็วางหูไป
ผมได้แต่ งง แล้วก็เป็นห่วง แล้วก็คิดไปต่างๆนานาว่า เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่ร้ายแรง
เพราะน้องคนนี้เคยมีประวัติติดพนันบอล...มีเรื่องมีราวกับอันธพาล ขึ้นโรงพัก มาแล้ว ผมจึงได้โทรไปบอกทางแม่ของเขาให้ทราบเรื่องแล้ว แล้วก็โทรบอกภรรยา เราต่างโทรเช็คกันให้วุ่น แล้วในที่สุดทางแม่ของน้องชายเขาก็โอนเงินไปให้จำนวนหนึ่ง
พอตอนค่ำ ได้เจอน้องชาย (เขาพักที่แถวบ้านของผม) ก็เลยเรียกมาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้น น้องเขาก็เดินมาด้วยหน้าตาเรียกว่าได้เซ็งๆ ถามก็ได้ความว่า วันนี้พอดีขณะที่ขับมอเตอร์ไซต์กลับบ้าน เจอคนประสบอุบัติเหตุรถชน(ผมถามว่าชนอะไรยังไงก็ไม่เล่ารายละเอียดให้ฟัง ผมก็ไม่ได้เจาะประเด็นนั้น) ก็เลยรีบเข้าไปช่วยแทนที่จะไม่สนใจเพราะผมเพิ่งกลับจากค่ายฯมา แล้วพอพาไปโรงพยาบาล หมอต้องการเงิน(ผมก็งงว่าทำไมไม่โทรหาญาติๆของคนป่วย) เขาก็เลยต้องการเงินฉุกเฉินก็เลยโทรมายืมเงิน... ผมก็ถามว่าอ้าวทำไมไม่เล่าให้ฟังว่าเรื่องเป็นอย่างนี้หละ น้องเขาตอบว่า ผมจะเล่าไปทำไม ยังไงพี่ก็ไม่ช่วยอยู่แล้ว!!!!!!
ผมได้ยินถึงกับสะอึก แล้วอึ้งไป..................... ทำไมน้องเขาถึงได้รีบตัดสินเราอย่างนั้น......
ผมก็อธิบายว่า
- ตอนนั้นพี่ไม่มีเงินเลย
- พี่ก็ควรมีสิทธิที่จะทราบเรื่อง เผื่อจะได้ขับรถไปช่วยเหลืออะไรตรงนั้นเลยก็ยังได้
- ทำไมพี่จะไม่เห็นความสำคัญ พี่ถึงกับโทรกันให้วุ่นเพื่อหาทางช่วยเหลือ
แล้วสุดท้ายน้องเขาก็สรุปว่า "ผมว่าตรงๆเลย ถ้าพี่ไว้ใจผมพี่จะไม่ถามผมหรอกว่าจะเอาเงินไปทำอะไร"
ผมสะอึกครั้งที่สอง ...........เรื่องนี้มาวัดใจเรา หรือตัดสินเราว่าเราไม่ไว้ใจเขาเหรอ...........
ผมก็พูดว่า "ประเด็นว่าไว้ใจหรือไม่ไว้ใจ มันตัดสินอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าพี่มีเงินตรงนั้น แล้วถ้าเรื่องคอขาดบาดตายทำไมพี่จะไม่ช่วย มากกว่านี้พี่ก็เคยช่วยเรามาแล้วไม่ใช่เหรอ....... แต่เพียงแค่พี่ขอมีสิทธิรู้...เท่านั้น"
แต่พูดไป ก็คิดว่า สิ่งที่เป็นปัญหาคือ "ทัศนคติ"ของน้องเขาที่มีต่อเรา มันตัดสินไปแล้ว....เปรียบเหมือนว่าผมเป็นฟาริสีใจดำ.... น้องเขาบอกว่า "ถ้าผมบอกไปพี่จะช่วยเหรอ พี่ก็ไม่ช่วยอยู่ดี"......
เรื่องนี้ยาวครับ ..............สุดท้ายยังไง ผมก็บอกเขาว่า ผมชื่นชมในความเป็นคนมีน้ำใจของเขา แม้ว่าเขาก็ไม่มีเงินเลยก็ตาม เป็นชาวสะมาเรียใจดี แต่ก็ไม่ควรตัดสินคนอื่นว่าเป็น ฟาริสีใจดำด้วย
โลกใบนี้ทุกวันนี้มีเรื่องอะไรร้ายๆเกิดขึ้นเยอะครับ เด็กขอทาน เด็กเช็ดกระจกตามสี่แยก เด็กขายพวกมาลัย ดอกไม้ตามร้านอาหาร เด็กจรจัดแถวหัวลำโพง ไม่นับเด็กพิการซ้ำซ้อน ปัญญาอ่อนตามมูลนิธิต่างๆ การที่เราจะเลือกช่วยเหลือที่ใด อย่างไร เท่าไหร่ หรือยังไง มันก็เป็นสิทธิของเราที่จะทำ พระเจ้าไม่เคยบังคับในสิ่งนี้ เพียงแต่ความมีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายในก็ทำให้เราแต่ละคนเป็นคนที่มีจิตใจ "อ่อนโยน" และ "เมตตาช่วยเหลือ"ผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากอยู่แล้ว
ถ้าวันนึงคุณเดินไปเจอขอทาน คุณจะให้เงินเขาไหม......
คุณเดินไปเจอเด็กจรจัด ขอตังค์กินข้าวคุณจะให้เขาไหม........
วันนึงถ้าคุณเดินไปเจอคนประสบอุบัติเหตุ คุณจะรีบเข้าไปช่วยเขาไหม......... อย่างไรหละ...
ตอบกันเองครับ..........
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น