ประวัติศาสตร์ของคริสตจักร เริ่มในสมัยยุคพระคัมภีร์ใหม่ หลังพระเยซูคริสต์ทรงเสด็จกลับสู่สวรรค์ ก็เกิดคริสตจักรขึ้น โดยยุคนั้นคริสตจักรจะเป็นลักษณะของคริสตจักรตามบ้าน หลังจากนั้นรูปแบบของคริสตจักรหรือภาษาไทยอีกคำเรียกว่า "โบสถ์"นั้นก็มีการพัฒนา วิวัฒนาการไปทุกยุคทุกสมัย หลังคริสตจักรใต้ดิน ถูกตามล่า ตามฆ่า ถูกข่มเหง มายุคกษัตริย์คอนสแตนตินที่รับให้คริสตศาสนาเป็น ศาสนาประจำอาณาจักรโรมัน มีบท กฎหมายรับรอง มีประมุขคริสตจักรที่เรียกว่า สันตปาปา หรือPope ต่อมาจนอาณาจักรโรมันแบ่งแยกเป็นโรมันฝ่ายตะวันตก-ตะวันออก ศาสนจักรก็แบ่งออกเป็นสองฝ่ายเช่นเดียวกัน ฯลฯ จนยุคปฏิรูปศาสนาในช่วงศตวรรษที่ 14-15 ท่านมาติน ลูเธอร์ได้ทำให้เกิดนิกายที่แยกออกมาเรียกว่า โปรแตสแตนท์ และเรื่อยมาถึงยุคของเรา หลังพระเยซูประสูติ 2,000ปี
คริสตจักรถ้าตามทรรศนะของนักศาสนศาสตร์พระคัมภีร์ในปัจจุบัน แบ่งออกได้เป็น 2อย่างคือ
- คริสตจักรสากล ซึ่งหมายถึง กลุ่มผู้ที่เป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ เชื่อ และบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เป็นคริสตชนทั่วโลก ซึ่งถือว่าเป็นพระกายของคริสตจักร โดยพระเยซูเป็นศีรษะ
- คริสตจักรท้องถิ่น อธิบายง่ายๆก็คือคริสตจักรย่อยๆตามข้อ 1 แบ่งตามภูมิลำเนา แต่ละที่ ที่แตกต่างกันออกไปในโลกใบนี้ โดยจริงๆแล้ว เหล่าคริสตชนก็จะไปรวมตัวกัน และเรียกกลุ่มของตนเองว่า คริสตจักรในชื่อต่างๆที่ตั้งกันขึ้นมา โดยคริสตจักรเหล่านั้น จะประกอบด้วย
- ผู้นำ หรือคณะผู้นำ
- สมาชิก
- สถานที่ประชุม
- กฎระเบียบ กฎเกณฑ์ของคริสตจักร หรือเรียกอีกอย่างว่าธรรมนูญคริสตจักร
ซึ่งปกติแล้ว คริสตชนที่ไปคริสตจักรไหนเป็นประจำ จนเข้าหลักเกณฑ์ที่คริสตจักรนั้นตั้งเอาไว้เช่น
- มาคริสตจักรอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 6เดือน
- ถวายสิบลดอย่างสัตย์ซื่อ
- ผ่านการอบรม และบัพติสมาในน้ำแล้ว
ก็จะถือว่าเป็น "สมาชิก"คริสตจักรนั้นๆ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "สมาชิกที่ผูกพันตัวกับคริสตจักร" ซึ่งจะส่งผลที่คริสเตียนผู้นั้นจะมีโอกาสผูกพันเสมือนเป็น 1ในครอบครัวคริสตจักร มีโอกาสได้พัฒนาของประทานในการรับใช้พระเจ้าผ่านคริสตจักรเป็นต้น
ซึ่งคริสตจักรทั้งหมดโดยส่วนใหญ่จะต้องการ "สมาชิก"ที่สัตย์ซื่อ และผูกพันตัวกับคริสตจักรอย่างยาวนานทั้งสิ้น และเหล่าคริสเตียนก็อยากอยู่ที่คริสตจักรนั้นอย่างยาวนาน ไม่ย้ายไปไหน
แต่จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ก็จะพบว่ามีคริสเตียนจำนวนไม่น้อยที่ล้วนแล้วต้องเคยมีประสบการณ์การ "ย้ายโบสถ์", "เปลี่ยนคริสตจักร" และบางคน อาจจะเปลี่ยนมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10คริสตจักรเสียด้วยซ้ำ ซึ่งพบว่า การย้ายคริสตจักรบ่อย ไม่ใช่เรื่องสนุกเลยครับ แต่ผมก็พอจะเข้าใจคริสเตียนเหล่านี้ได้บ้างว่าเป็นอย่างไร
เหตุผลของคริสเตียนที่ย้ายโบสถ์
- ไม่มีความสุขในคริสตจักรที่อยู่ อาจจะเกิดจากปัญหาทะเลาะ ขัดแย้งกัน หรือไม่ก็ได้ เพราะบางท่านอยู่ไปเฉยๆ ก็รู้สึกว่า "มาโบสถ์ก็เหมือนไม่มา" เพราะไม่มีอะไรที่โบสถ์ให้น่าสนใจ หรือน่ามาเลยก็มี แต่โดยส่วนใหญ่แล้วปัญหาความขัดแย้งถือเป็นสาเหตุหลักของคริสเตียนส่วนใหญ่ที่เลือกย้ายโบสถ์หนีปัญหาดีกว่า ซึ่งคริสตจักรต้องเข้าใจว่า คนที่มาคริสตจักรอย่างแรกที่ต้องการได้รับคือ "ความสุข ความสบายใจ" ถ้ามาโบสถ์แล้วไม่มีความสุข ก็ไม่รู้จะมาเพื่ออะไร มาแล้วเครียดคงไม่มีใครอยากมาแน่นอน
- พบปัญหาของผู้นำ หรือศิษยาภิบาล ที่อาจจะขาดความน่าเชื่อถือ หรือไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่ได้คาดหวังเอาไว้ ปัญหาของผู้นำไม่ได้หมายความว่าผู้นำท่านนั้นทำผิดเสมอไป บางทีท่านไม่ได้ทำอะไรก็กลายเป็นว่า คริสเตียนรู้สึกขาดการดูแลเอาใจใส่จากผู้นำ ก็เลยคิดน้อยใจก็มี แต่อีกหลายอย่างผู้นำก็สามารถทำผิดพลาดได้ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อย ไปจนถึงเรื่องใหญ่ สมาชิกที่ไม่เติบโตเพียงแค่เห็นความผิดพลาดเล็กน้อยก็สามารถทำให้หมดความศรัทธาต่อตัวผู้นำท่านนั้น จนเป็นสาเหตุให้เปลี่ยนคริสตจักรเพื่อตามหาผู้นำ(ในฝัน)คนต่อไปให้พบ และอีกส่วนใหญ่ก็เกิดจากความผิดบาปของตัวผู้นำอย่างร้ายแรง กรณีนี้อาจจะไม่ได้ย้ายแค่คนเดียว แต่จะออกมากันเป็นหมู่คณะ เกิดความระส่ำระสายในคริสตจักรได้
- ไม่มีที่ให้ยืนในงานรับใช้คริสตจักร คริสเตียนคนนี้อาจจะพบว่าตนเองมีของประทานแต่ไม่ได้เข้า หรือตรงกันกับนิมิตของคริสตจักร ก็เลยต้องออกมาค้นหาคริสตจักรที่มีนิมิตตรงกันกับนิมิตส่วนตัวของตนเอง การย้ายคริสตจักรประเภทนี้ก็มักจะออกมาเพียงคนเดียว หรือแค่ครอบครัวเดียวเท่านั้น
- อื่นๆ ที่ดูแล้วอาจจะเหมือนไม่มีเหตุผล แต่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ย้ายโบสถ์ได้เช่น เลิกกับแฟนที่อยู่โบสถ์เดียวกัน, ลักษณะการนมัสการไม่ถูกใจ เล่นดนตรีนมัสการรุนแรง เสียงดังเกินไป เป็นต้น
แต่ผมขอบอกเลยว่า ไม่ว่าจะสาเหตุอะไรก็ตามที่ทำให้ต้องย้ายโบสถ์ การย้ายโบสถ์เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตคริสเตียนอย่างหนึ่งเลยครับ เพราะปัญหาหลังการย้ายโบสถ์ที่พบมีมากมายหลือเกิน บางคนย้ายมาแล้วหลายโบสถ์ เป็นเวลาหลายเดือนจนเป็นปีก็ยังไม่สามารถหาโบสถ์ที่จะผูกพันตัวเป็นสมาชิกประจำได้ ก็กลายเป็น"คริสเตียนจร"ไป ปัญหาที่จะต้องพบคือ
- การผูกพันตัวใหม่กับโบสถ์ใหม่ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 6เดือน กว่าจะทำความรู้จักกับผู้นำ ไปจนสมาชิก และทางโบสถ์ก็ต้องรู้จักเราเช่นเดียวกัน(เพราะย้ายมา ไม่รู้ว่าย้ายเพราะเราไปสร้างปัญหาให้ที่เดิมหรือเปล่า เขาก็เลยต้องระวังและสังเกตเราอยู่สักพักเหมือนกัน)
- ต้องค้นหาที่ยืนในโบสถ์ใหม่ ที่ยืนในที่นี้คือ "บทบาท"ของเรา เพราะบางท่านเคยเป็นถึงผู้ปกครอง มัคนายก หรือมีส่วนในงานรับใช้ที่เดิมมา แต่พอมาที่ใหม่ ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับลักษณะของนิมิต และงานรับใช้ที่ใหม่ที่ไม่เหมือนเก่า และทีมผู้นำที่โบสถ์ใหม่ก็จะคงต้องใช้เวลาสังเกตนิสัยใจคอเรา ความเติมโตฝ่ายวิญญาณ และของประทานที่เรามี เพื่อหาส่วนในงานรับใช้ที่เราจะทำได้ หรือมีบทบาทในโบสถ์ใหม่ได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย บางท่านที่ย้ายมาจากโบสถ์เดิม พกของประทานมาเต็มกระเป๋า แต่มาที่ใหม่ กว่าจะรู้ว่าที่นี่ไม่ได้มีนิมิต หรือลักษณะงานรับใช้ที่ต้องใช้ของประทานของท่านเลย ก็เสียเวลาไปหลายเดือน แล้วก็จะวนไปสู่จุด "การย้ายโบสถ์"ใหม่อีกครั้ง
- ไม่เป็นที่ยอมรับในแวดวงคริสเตียน เพราะแม้ว่าเราจะไม่ได้มีปัญหาอะไร เพียงแต่ยังไม่สามารถหาคริสตจักรที่จะผูกพันตัวได้ เราก็จะถูกคิดว่าเป็น "คริสเตียนจร" ที่ไม่ยอมผูกพันตัวกับที่ใด ก็จะส่งผลต่อภาพพจน์ของตนเองในท่ามกลางแวดวงคริสเตียนด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นผู้รับใช้พระเจ้ามาก่อน
- นิมิตและของประทานที่มีอยู่อาจจะสั่นคลอนได้ เพราะพระเจ้าทรงสร้างเราอย่างมีวัตถุประสงค์ สิ่งที่เราเป็น ประสบการณ์ที่เราผ่าน ของประทานที่เรามีล้วนจะเกิดประโยชน์ต่องานของพระองค์ และคริสตจักร แต่ถ้าเราไม่สามารถหาโบสถ์ที่จะได้ใช้ของประทาน และนิมิตนั้นได้ จะทำให้เราเริ่มสงสัยตัวเราเอง สงสัยการทรงนำของพระเจ้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อฝ่ายวิญญาณในระยะยาวได้
- การเติบโตฝ่ายวิญญาณหยุดชะงัก จากเหตุผลที่กล่าวมาจะมีผลกระทบต่อการเติบโตฝ่ายวิญญาณไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน คริสเตียนไม่ควรที่จะหยุดเติบโตในฝ่ายวิญญาณ ผ่านการพัฒนาของประทาน ผ่านการรับใช้พี่น้อง รับใช้พระเจ้าผ่านคริสตจักร ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้ายังไม่มีคริสตจักรที่ได้ผูกพันตัวอยู่เป็นสมาชิกประจำ ซึ่งในระยะยาว เมื่อไม่เติบโตฝ่ายวิญญาณแล้ว อาจจะถึงกับเสื่อมถอยในความเชื่อ และพาไปสู่การหลงหายได้ในที่สุดครับ อย่าคิดว่าจะไม่เกิดขึ้นกับท่าน เพราะผมเห็นหลงหายมาเยอะแล้วครับ ที่ว่าเข้มแข็ง และเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ ไม่มีใครเข้มแข็งหรือเป็นผู้ใหญ่พอที่จะไม่หลงหาย ในเมื่อไม่ได้อยู่ในฝูงแกะของพระเยซูคริสต์
ดังนั้น ผมอยากแนะนำให้ท่านที่คิดจะเปลี่ยนหรือย้ายคริสตจักร อธิษฐานให้แน่ใจ ขอการยืนยันจากพระเจ้าชัดเจน ขอหลายรอบได้ครับไม่ผิดกฎฝ่ายวิญญาณ ดูตัวอย่างกิเดโอนขอหมายสำคัญจากพระเจ้า หรือการทรงเรียกซามูเอลตอนเด็ก พระเจ้าไม่เคยเรียกครั้งเดียวครับ และผมก็ไม่เคยพูดว่า คริสเตียนที่ย้ายโบสถ์เป็นคริสเตียนที่"มีปัญหา" เพราะเหตุผลหลายๆอย่าง ถ้าเป็นพระเจ้าทรงนำท่านอย่างแท้จริงแล้ว ใครจะห้ามได้ครับ พระคัมภีร์ไม่เคยมีข้อไหนที่พระเจ้าออกกฎห้ามเปลี่ยนสถานที่นมัสการ ไม่อย่างนั้น เราทุกคนก็ต้องกลับไปที่พระวิหารซาโลมอน ณ.เยรูซาเล็มทุกสัปดาห์
แต่ท่านต้องค้นหาทางของพระเจ้า และวัตถุประสงค์ของพระองค์ให้พบ และเดินไปให้สุดทางที่พระเจ้าทรงตั้งเป้าใช้ท่านครับ วันใดที่พระเจ้าตรัสว่า "จงออกมา" ก็อย่าลังเลครับ ให้มั่นคง และกล้าหาญเหมือนท่านอับบราฮัมที่ออกจากเมืองเออร์ ไปสู่แผ่นดินพระสัญญาของพระเจ้า เหมือนโมเสสที่ออกนำอิสราเอลจากอียิปต์ไปสู่คะนาอัน
ส่วนท่านที่ยังหาคริสตจักรผูกพันตัวอยู่นานแล้ว ผมจะอธิษฐานเผื่อท่านครับ
ส่วนท่านที่ยังหาคริสตจักรผูกพันตัวอยู่นานแล้ว ผมจะอธิษฐานเผื่อท่านครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น