วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

คุณเชื่อว่าพระเจ้าทรงทันสมัยหรือเปล่าครับ



คิดใหม่ทำใหม่ได้ครับ สำหรับทุกงานรับใช้พระเจ้า ทุกงานพันธกิจ ถ้าคุณเชื่อว่าพระเจ้าให้พระพรใหม่สดเสมอ และพระเจ้าทันสมัยอยู่เสมอ งานของพระองค์ก็เช่นเดียวกันครับ ผมอยากให้อ่านเรื่องเล่าที่เขียนจากประวัติของคนที่มีชื่อเสียงคนนึง


โจทย์ข้อหนึ่งในข้อสอบวิชาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกนมีดังนึ้ 
"จงอธิบายว่าท่านจะใช้บารอมิเตอร์วัดความสูงของตึกระฟ้าได้อย่างไร" 

รู้จักกันนะครับ ว่าบาร์รอมิเตอร์นี่ก็คือเครื่องมือวัดความกดอากาศนั่นเอง 
(อธิบายเพิ่มเติมก็คงต้องบอกว่า อากาศนั้นมันมีน้ำหนักหรือมีแรงกดนั่น 
และแรงกดของอากาศนั้นเมื่ออยู่ในระดับความสูงที่เปลี่ยนไป 
ความกดอากาศก็เปลี่ยนไปด้วย) 
นักศึกษาคนหนึ่งเขียนคำตอบลงไปว่า 

"เอาเชือกยาวๆ ผูกกับบารอมิเตอร์แล้วหย่อนลงมาจากยอดตึก แล้วก็เอาความยาวเชือก 
บวกความสูงบารอมิเตอร์ก็จะได้ความสูงของตึก" 

ฟังดูเป็นอย่างไรครับคำตอบนี้ ผมฟังครั้งแรกผมยังอมยิ้มเลยครั 
แต่อาจารย์ที่ตรวจข้อสอบไม่นึกขันอย่างผมด้วย 
อาจารย์ตัดสินให้นักศึกษาคนนั้นสอบตก 
นักศึกษาผู้นั้นยืนยันต่ออาจารย์ที่ปรึกษาว่า 
คำตอบของเขาควรจะถูกต้องอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง 
และคำตอบของเขาก็สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ 
ทางมหาวิทยาลัยจึงตั้งกรรมการชุดหนึ่งมาตัดสินเรื่องนี้ 
และในที่สุดคณะกรรมการก็มีความเห็นตรงกันว่า 
คำตอบนั้นถูกต้องอย่างแน่นอน 
แต่เป็นคำตอบที่ไม่แสดงถึงความรู้ความสามารถทางฟิสิกส์ ดังนั้น 
เพื่อเป็นการแก้ข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้น 
ทางคณะกรรมการจึงให้เรียกนักศึกษาคนนั้นมา 
แล้วให้สอบข้อสอบข้อนั้นอีกครั้งหนึ่งต่อหน้า โดยให้เวลาเพียง 6 นาที 
เท่ากับเวลาในการสอบข้อสอบเดิม 
เพื่อหาคำตอบที่แสดงให้เห็นถึงความรู้ทางด้านฟิสิกส์ 

หลังจากผ่านไป 3 นาที นักศึกษาคนนั้นก็ยังนั่งนิ่งอยู 
กรรมการจึงเตือนว่า เวลาผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้วจะไม่ตอบหรืออย่างไร 
นักศึกษาหัวรั้นจึงตอบว่า เขามีคำตอบมากมายที่เกี่ยวกับฟิสิกส์ 
แต่ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะใช้คำตอบไหนดี 
และเมื่อได้รับคำเตือนอีกครั้ง 
นักศึกษาจึงเขียนคำตอบลงไปดังนี 

ให้เอาบารอมิเตอร์ขึ้นไปบนดาดฟ้าตึกและทิ้งลงมา จับเวลาจนถึงพื้น, ความสูงของ 
ตึกหาได้จากสูตร H=0.5g*t กำลัง 2 

หรือถ้าแดดแรงพอ 
ให้วัดความสูงบารอมิเตอร์แล้วก็วางบารอมิเตอร์ให้ตั้งฉากพื้น แล้ววัดความยาวของ 
เงาบารอมอเตอร์ 
จากนั้นก็วัดความยาวของเงาตึก แล้วคิดด้วยตรีโกณมิติก็จะได้ความสูงของตึกโดยไม่ 
ต้องขึ้นไปบนตึกด้วยซ้ำ 

หรือถ้าเกิดอยากใช้ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์มากกว่านี้ 
ก็เอาเชือกเส้นสั้นๆ มาผูกกะบารอมิเตอร์แล้วแกว่งเหมือนลูกตุ้ม ตอนแรกก็แกว่ง 
ระดับพื้นดิน แล้วก็ไปแกว่งอีกทีบนดาดฟ้า ความสูงของตึกจะหาได้จาก ความแตกต่าง 
ของคาบการแกว่ง 
เนื่องจากความแตกต่างของแรงดึดดูดจากจุดศูนย์กลางของมวล 
คำนวณจาก T = 2 พาย กำลัง 2 รากที่ 2 ของ l/g 

ถ้าตึกมีบันไดหนีไฟก็ง่ายๆ 
ก็เดินขึ้นไปเอาบารอมิเตอร์ทาบแล้วก็ทำเครื่องหมายไปเรื่อยๆ 
จนถึงยอดตึกนับไว้คูณด้วยความสูงของบารอมิเตอร์ก็ได้ความสูงตึก 

แต่ถ้าคุณเป็นคนที่น่าเบื่อและยึดถือตามแบบแผนจำเจซ้ำซาก 
คุณก็เอาบารอมิเตอร์วัดความดันอากาศที่พื้นและที่ยอดตึก คำนวณความแตกต่างของ 
ความดันก็จะได้ความสูง 

ส่วนวิธีสุดท้ายง่ายและตรงไปตรงมาก็คือ 
ไปเคาะประตูห้องภารโรง แล้วบอกว่า อยากได้บารอมิเตอร์สวยๆ ใหม่เอี่ยมสักอันไหม ช่วยบอกความสูงของตึกให้ผมทีแล้วผมจะยกให้ 

นักศึกษาคนนั้นคือ นีล โบร์ 
ผู้ได้รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปีค.ศ.1922



ผมได้อ่านเรื่องนี้ก็สะท้อนใจหลายอย่าง เมื่อดูงานพันธกิจ งานรับใช้พระเจ้าในประเทศไทยปัจจุบัน มีผู้รับใช้หลายท่านกำลังหลงทาง คิดว่าสิ่งที่ท่านทำสำเร็จมาเมื่อหลายปีก่อน ยังใช้ได้ดีในปัจจุบัน และหวังว่ามันจะใช้ได้ดีในอนาคตไปด้วย....วันก่อนผมได้อ่านหนังสือเล่มนึงที่ผู้รับใช้พระเจ้าท่านนึงบอกว่า พระเจ้า พระองค์ทรงทันสมัย พระองค์ชอบความแปลกใหม่ ความหลากหลาย และทรงกระทำสิ่งที่คาดไม่ถึงอยู่เสมอในงานของพระองค์ แล้วทำไมหละในเมื่อพระองค์จะทรงใช้เราบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ในรุปแบบนั้นบ้าง...ในเมื่อ"โลก"ทุกวันนี้มันก็หมุนเร็วขึ้น เปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นในทุกๆเรื่อง ถ้าเราไม่คิดใหม่ทำใหม่ และมองออกนอกกรอบที่มีคนเคยตีกรอบเอาไว้ให้ในงานของพระองค์ ไม่มีทางเลยที่งานพันธกิจจะสำเร็จได้ดั่งใจของพระเจ้าผู้ทรงคาดหวังในผลของต้นมะเดื่อ

ผมรู้ว่าผมแก่แล้วครับ และยอมรับด้วยว่าแม้อายุ 35ปี ผมก็แทบจะไม่ทันโลกที่หมุนใบนี้ ยิ่งโลกของวัยรุ่น ผู้นำทั้งหลายครับ ยอมรับเถอะครับว่าท่านก็ตามไม่ทัน คิดใหม่ มองใหม่ ให้ผุ้รับใช้ที่ท่านมองว่าเป็นเด็กนี่แหละ ให้โอกาสเขาทำ เปิดโลกไอเดียของเขาออกมา ใช้เขาให้เป็นประโยชน์ อย่าหมิ่นประมาทความหนุ่มแน่นของเขาครับ

ถ้าคุณทำโบสถ์ ทำคริสตจักรอยู่ อย่าให้สิ่งต่างๆในคริสตจักรที่เป็นงานประจำเช่น การเตรียมรอบนมัสการ การเตรียมเทศนา การจัดรายการพิเศษต่างๆ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าใช้จ่ายจิปาถะ ฯลฯ ทำให้คุณพลาดสายตาที่จะมองถึงนิมิต และแผนการพิเศษที่พระเจ้าจะใช้คุณ ใช้คริสตจักรของคุณ ในฐานะผู้นำการพลาดไปจากวัตถุประสงค์ และแผนการณ์ของพระเจ้า ก็เหมือนกับคุณเป็นกัปตันเรือที่มัวแต่สาละวนกับการเช็ดถูดาดฟ้าเรือ ออกกฎระเบียบวินัยกะลาสี ลงโทษคนฝ่าฝืนกฎ จิปาถะ ฯลฯแต่กลับพาเรือไปในทิศทางที่ผิด (สิ่งรายละเอียด การดำเนินงานคริสตจักร มอบหมายให้ผู้ช่วยสิครับ มัคนายก ผู้ปกครองก็มีไม่ใช่เหรอครับ)

ผมเคยพูดแล้วว่า พื้นที่สงครามที่สู้รบฝ่ายวิญญาณหนักที่สุด นองเลือดที่สุด และโหดเหี้ยมที่สุดก็คือสงครามวัยรุ่นครับ การแย่งชิงวิญญาณของวัยรุ่น ซึ่งผมรู้สึกว่าในประเทศไทยตอนนี้  เราแพ้ซาตานหลุดลุ่ย ขาดลอย ......... อย่าว่าแต่คนยังไม่เชื่อเลยครับ คริสเตียนวัยรุ่นในปัจจุบัน ก็กินเหล้า สูบบุหรี่ ชกต่อย ทะเลาะวิวาทกัน ด่าคำหยาบคาย ไม่ได้แตกต่างจากคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าเลยครับ....


เสียดายที่คริสเตียน คริสตจักรของพระเยซูคริสต์ในประเทศไทย แพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้ขึ้นชก

1 ความคิดเห็น:

  1. ขอเสริมนะครับ เห็นด้วยเลยเพราะว่าตั้งแต่เล็กๆมาจนโตบอกได้เลยว่าคริสเตียนล้าหลังมาก จนน่าอายเลยหละครับน่าเสียดายที่ผู้ใหญ่กำลังทำลายแผนการของพระเจ้าด้วยมุมมองแคบๆและความเห็นแก่ตังของพวกเค้า แล้ววันนั้นจะมองหน้าพระเจ้าออกได้ยังไงครับที่วัยรุ่นเป็นแบบนี้ก็เพราะผู้ใหญ่เป็นส่วนสำคัญครับ มีหินสดุดเยอะครับ เด็กสมัยนี้เก่งแต่ไม่ฉลาด เค้าเห็นแล้วรู็ว่าใครทำอะไรแต่แยกไม่ออกว่าอะไรควรเลียนแบบหรือไม่

    ตอบลบ