จากประสบการณ์โดยตรงก็ดี ประสบการณ์จากเพื่อนฝูง ไปจนถึงอาจารย์ที่โบสถ์ก็ดีเกี่ยวกับเรื่อง "ธุรกิจขายตรง" ที่เข้ามาในคริสตจักรตั้งแต่ในสมัยเมื่อสิบปีก่อน จนปัจจุบันก็ยังมีมากกว่าเดิมเสียอีก ผมเชื่อว่าเกือบทุกคริสตจักรจะต้องเคยเผชิญ หรือกำลังเผชิญกับสิ่งนี้อยู่ ซึ่งคริสเตียนอาจจะปฏิกริยาตอบสนองหลายแบบแตกต่างกันไป ทั้งเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ต่อต้าน หรือเข้าร่วมมันซะเลย ผมเลยจะมาพูดถึงเรื่องนี้ให้ฟังครับ
ธุรกิจขายตรง ตามความหมายก็คือ การทำตลาดสินค้าหรือบริการในลักษณะของการนำเสนอขายต่อผู้บริโภคโดยตรง ณ ที่อยู่อาศัยหรือสถานที่ทำงานของผู้บริโภคหรือของผู้อื่น หรือสถานที่อื่นที่มิใช่สถานที่ประกอบการค้าเป็นปกติธุระ โดยผ่านตัวแทนขายตรงหรือผู้จำหน่ายอิสระชั้นเดียวหรือหลายชั้น โดยแบ่งออกเป็น 2ประเภทคือ
1. ขายตรงแบบชั้นเดียว ก็คือ การขายผ่านตัวแทนจำหน่ายต่อผู้บริโภคโดยตรง ได้รับผลกำไรจากการขายปลีกให้กับลูกค้าเพียงชั้นเดียวเท่านั้น
2. ธุรกิจขายตรงแบบหลายชั้น (Multi- Level Marketing หรือ MLM) เป็นการขายต่อๆกันเป็นเครือข่ายหลายชั้น ผู้ขายเป็นนักขายอิสระ ไม่ใช่ลูกจ้างของบริษัท มีหลายแบบได้แก่ แบบไบนารี่ แบบยูนิเลเวล แบบไตรเซ็บ แบบเมตริกซ์ โดยนักขายสามารถสร้างรายได้จากการทำงาน 2 วิธีรวมกัน คือ
- ผลกำไรจากการขายปลีก ซึ่งเป็นผลต่างระหว่างต้นทุนสินค้าที่ซื้อมาจากบริษัทกับราคาขายปลีกที่ได้ขายสินค้าหรือบริการให้กับผู้บริโภค
- คอมมิชชั่นหรือส่วนลดตามระดับยอดขายของสินค้าหรือบริการที่มีการสั่งซื้อ (เพื่อบริโภคหรือเพื่อขายให้กับผู้ขายคนอื่นต่อๆไป) จากผู้ขายที่ได้ชักชวนเข้ามาสมัครร่วมธุรกิจในทีมขาย หรือที่เรียกว่า "สปอนเซอร์" ในระดับเป็นชั้นต่อๆไป
แล้วธุรกิจขายตรงมาเกี่ยวข้องในชีวิตคริสเตียนของเราได้อย่างไร ผมจะบอกว่าเกี่ยวอย่างมากครับ เพราะถ้าดูจากรูปแบบระบบขายตรงหลายชั้นแล้ว มันก็คือระบบเครือข่ายที่มีการหาสมาชิกต่อไปเรื่อยๆ มีการรวมกลุ่มย่อย เพื่อสร้างเสริมกำลังใจ เสริมวิธีการขาย ถ่ายทอดประสบการณ์ ซึ่งดูแล้ว เหมือนกับระบบการประกาศฯ ระบบกลุ่มเซลของคริสเตียนเลยครับ แต่ต่างกันตรงธุรกิจขายตรงมีวัตถุประสงค์คือผลประโยชน์ร่วมกันในเรื่องของรายได้เป็นหลัก(บางคนอาจจะบอกว่าเกิดจากความรักเมตตา ให้ผู้ร่วมเครือข่ายมีชีวิตที่ดีขึ้นก็ตาม) แต่คริสเตียนสิ่งที่ได้คือชีวิตที่ดีขึ้นของผู้เชื่อใหม่ และพระพรสำหรับผู้ประกาศเลี้ยงดู โดยไม่มีรายได้หรือผลประโยชน์อย่างอื่นมาเกี่ยวข้อง
จากที่ผมอธิบายมานี้ จะดูแล้วรู้เลยว่า รูปแบบมัน "ใกล้เคียง"กันมากครับ ทั้งวิธีการ ไปจนผลประโยชน์หรือจุดมุ่งหมาย ซึ่งสิ่งนี้ทำให้"ธุรกิจขายตรง"เข้ามาสู่กลุ่มคริสเตียนในคริสตจักรได้อย่างง่ายดาย เนื่องจาก มีความคล้ายในวิธีการซึ่งคริสเตียนคุ้นเคยอยู่แล้ว(การหาสมาชิกใหม่เพิ่ม) รวมไปถึงลักษณะการชักชวนที่จะนำเอาวัตถุประสงค์ หรือจุดมุ่งหมายที่ตรงกันก็คือ
- เพื่อมีรายได้พอเพียงหาเลี้ยงชีพตนเอง
- เพื่อจะได้มีเวลาไปรับใช้พระเจ้ามากขึ้น กว่าการทำงานประจำเดิมๆ
- เป็นการดีที่ได้แนะนำให้เพื่อน หรือคนรู้จักได้ใช้สินค้าดีๆ
- เป็นการช่วยให้เพื่อน หรือคนรุ้จักได้มีธุรกิจ มีรายได้หาเลี้ยงชีพตนเอง และอื่นๆตามข้อ 1-3 ที่กล่าวมา
กลุ่มคริสเตียนคริสตจักรต่างๆจึงกลายเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ "ทรงพลัง" และ "น่าลงทุน" มากที่สุดสำหรับธุรกิจขายตรง เพราะเป็นกลุ่มคนที่เจอกันอยู่ทุกสัปดาห์ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน เหมาะกับการชักชวนให้ลงทุน และเข้ามาร่วมทำธุรกิจนี้ รวมไปถึงเป็นการง่ายที่จะแนะนำ ขายสินค้ากับกลุ่ม เพราะพอคนนึงใช้ อีกคนก็จะมีโอกาสซื้อไปใช้ด้วยได้ง่ายมาก
บุคคลที่ผมเคารพรักหลายท่านเป็นผู้รับใช้อยุ่ในคริสตจักร ในแต่ละปีผมจะเห็นท่านเหล่านี้ซื้อหรือใช้สินค้าจากกลุ่มธุรกิจขายตรงเยอะมาก อาทิเช่น อาหารเสริมต่างๆ เครื่องกรองน้ำ สินค้าอุปโภค บริโภค ยาสีฟัน น้ำหอม เครื่องสำอางค์ ขนมขบเคี้ยว หมอน ยันข้าวสาร หลายท่านซื้อเพราะเกรงใจสมาชิกที่นำมาเสนอขาย แต่ก็มีบางท่านที่คิด และหวังว่าจะเข้าร่วมธุรกิจขายตรงเหล่านี้แล้ว จะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ตอบสนองความต้องการตามข้อที่ 1-4 ตามที่ผมได้กล่าวไว้ข้างต้น
ผมไม่ได้ต่อต้านธุรกิจขายตรงครับ เพราะก็เห็นคนที่ผมรู้จักหลายท่านในคริสตจักรก็ไปได้ดีกับธุรกิจนี้ แต่ก็ต้องแลกมากับการทำงานหนักทั้งงานหลัก และงานขายตรง ซึ่งผมยังไม่เคยเห็นท่านไหน มีเวลารับใช้พระเจ้ามากขึ้นเลยครับ สิ่งที่ทำให้นำมาคิดในคอลัมภ์นี้ก็คือ คริสเตียนควรจะตอบสนองกับธุรกิจขายตรงอย่างไรดีครับ ถ้ามีคนมาชักชวนในคริสตจักร และบางคนก็เป็นพี่น้องที่เป็นที่รักของท่าน ผมขอเสนอเป็นแนวทางจากประสบการณ์ส่วนตัวที่คิดว่าใช้ได้ผลครับ เพราะบางท่านก็หวังดีจริงๆ (แต่บางครั้งเราก็ไม่ต้องการ) สินค้าบางตัวดีจริง แต่ก็มีอีกเยอะที่เป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือหลอกลวงมา เน้นหาเครือข่ายก็เยอะ
- ถ้าคุณมีเวลาในการพูดคุย ก็ให้ทางผู้แนะนำธุรกิจขายตรงท่านนั้นพูดคุยเต็มที่ แนะนำสินค้าเต็มที่เลยครับ แต่ผมจะแนะนำให้คุณโฟกัสไปยังสินค้าที่เขาขายเป็นหลัก พยายามถามข้อมูลสินค้าให้ดี ครบถ้วนครับ ถ้าเป็นพวกอาหารเสริม ก็ควรจะมี อย. ก็จะดีที่สุด เครื่องใช้อุปโภคทั่วไป ถ้ามี มอก.ก็จะช่วยให้มั่นใจในคุณภาพได้ครับ ที่ผมแนะนำในฟังในตัวสินค้าให้มาก ไม่เน้นในเรื่องรายได้ก็เพราะ ธุรกิจขายตรงทั้งสิ้นในโลกนี้ ต้องมีพื้นฐานมาจากสินค้าที่ดี มีคุณภาพ เป็นความแข็งแกร่งในเบื้องต้นครับ ถ้าสินค้าไม่ดีแล้ว อย่างอื่นไม่ต้องไปคิดเลยครับ....ธุรกิจ และรายได้มันจะไปต่อไม่ได้แน่นอน รวมไปถึงคุณจะเสียเงินฟรีในของที่ไม่มีคุณค่า หรือคุณภาพด้วย
- ถามตัวคุณเองหรือครอบครัวของคุณว่า ถ้าซื้อสินค้านั้นมาแล้ว คุณจะได้ใช้หรือไม่ และใช้แล้วคุ้มค่ากับราคาที่ท่านจ่ายไปหรือเปล่า อย่าซื้อเพราะเห็นว่ามันดีเท่านั้น เพราะถ้าซื้อแล้วไม่ได้ใช้ ก็เหมือนท่านเอาเงินบริจาคการกุศลให้ผู้ขายสินค้าไปเปล่าๆครับ และอย่าซื้อเพราะตัดรำคาญ โดยส่วนใหญ่แล้วเมื่อท่านซื้อ ผู้ขายก็จะพยายามชักชวนท่านในการสมัครสมาชิกต่อ เสียเงินเพิ่มขึ้นสำหรับการซื้อสินค้าแล้วจะได้รับส่วนลด ฯลฯ ท่านจะมีเรื่องเสียเงินตามมาอีกแน่นอน ผมแนะนำว่าถ้าท่านจะไม่ซื้อ ต้องใจแข็งปฏิเสธไปครับ เป็นผลดีต่อตัวคุณ และต่อผู้ขายด้วยครับ ไม่ต้องคิดว่าผู้ขายอุตส่าห์เสียเวลาเล่าสรรพคุณสินค้าตั้งนาน คุณต้องคิดว่าเป็นสิ่งที่เขาต้องลงทุน ลงแรงในการเสนอขายอยู่แล้วครับ คุณได้เปิดโอกาสให้กับเขาแล้วไงครับ
- ถ้าคุณได้ตัดสินใจซื้อสินค้านั้นแล้ว ก็พิจารณาตามความเหมาะสมว่า การสมัครสมาชิกนั้น เงินค่าสมัครที่จ่ายเพิ่มขึ้น กับส่วนลดที่ได้ คุ้มค่ากันไหมครับ จากการที่คุณจะมีโอกาสในการใช้สินค้านั้นซ้ำ2ในอนาคต แต่โดยส่วนใหญ่คุณจะถูกชักจูงร่วมด้วยว่า เมื่อคุณสมัครสมาชิกคุณก็จะมีสิทธิในการนำเสนอขายสินค้านั้นต่อกับคนที่คุณรู้จัก และได้รับผลกำไรเข้าบัญชีของคุณ เป็นทอดๆถ้าคุณสามารถทำเครือข่ายผู้ใช้ของคุณขึ้นมาได้ (ผมคงไม่ลงรายละเอียดในเรื่องนี้ เพราะมีเยอะมากและน่าปวดหัวครับ)
แต่ว่าสิ่งนี้ ผมเรียกว่าเป็นการ "ขายฝัน" ซึ่งทุกคนก็มีสิทธิฝันครับไม่ได้ผิด เพียงแต่ว่า การไปถึงฝันนั้นไม่ใช่ทำได้ทุกคนครับ ยิ่งฝันการเป็นเจ้าของเครือข่ายธุรกิจขายตรงแล้ว เป็นสิ่งที่ยากครับสำหรับความคิดของผม และต้องแลกมากับการลงทุน ลงแรง ลงเวลาอย่างหนัก
โดยประสบการณ์ส่วนตัวของผมหลังจากที่เคยลองเข้าไปคลุกคลีกับธุรกิจขายตรงอยู่พักใหญ่ เมื่อสมัยยังวัยรุ่นกับธุรกิจขายตรงAmway ผมพบว่า ตัวผมเปลี่ยนไปครับ และปฏิกริยาคนรอบข้างของผมเปลี่ยนไปด้วยดังนี้
- ผมมักฝันบ่อยๆว่า จะได้ผลกำไรจากการขาย และหาเครือข่ายDown Line ได้จนพอเลี้ยงดูตัวเอง และตอนนั้นจะมีเวลาไปรับใช้พระเจ้าเต็มที่
- ผมมักจะเห็นคนรอบข้างเป็นลูกค้า และDown Line ในเวลาเดียวกัน ทั้งพี่น้องคริสเตียนก็ดี หรือเพื่อนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้าก็ดี โดยมีความคิดในหัวว่า เรากำลังนำเสนอสิ่งดีๆเข้าไปให้กับชีวิตของเขา
- เมื่อได้พูดคุย ผมก็จะพยายามเปิดโอกาสในการพูดถึงความดีของสินค้า และโอกาสทางรายได้จากธุรกิจนี้ เพื่อชักชวนให้ซื้อสินค้า หรือสมัครเป็นสมาชิก แทนที่จะได้พูดคุยถามไถ่หนุนใจในพระคำ หรือประกาศพระกิตติคุณพระเยซูคริสต์
- เพื่อนคนไหนที่ปกติผมจะไม่เคยคุย หรือไม่เคยโทรติดต่อเลยก็มักจะได้รับโอกาสพูดคุยกับผมโดยแปลกประหลาดใจว่า ทั้งปีทั้งชาติ ไม่เคยเลยที่ผมจะโผล่ไปให้เห็น
- หลังจากนั้นผ่านไปไม่นาน ผมพบว่าเพื่อนฝูง และคนรอบข้าง มักจะหาทางเลี่ยงในการพูดคุยกับผม หรืออย่างแย่ คนเหล่านั้นก็จะบอกว่า "ยังไม่ซื้อ"
เหตุการณ์นั้นผ่านไปนานแล้วครับ พอผมผ่านมาก็ได้กลับมาคิดมองตัวเองย้อนกลับไป พบว่ามีหลายคนที่กำลังตกอยู่ในสภาพเดียวกับผม ผมไม่เถียงครับว่ามีคริสเตียนดีๆอีกหลายท่านที่ทำธุรกิจขายตรงและไม่ได้เป็นอย่างผม แต่สิ่งนี้ ก็ต้องเป็นสิ่งที่คริสเตียนทุกคนต้องพิจารณาให้ดีครับ อย่าให้คำว่า"รายได้" และ"กำไร" มาแทนที่คำว่า "ความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข" ที่พระเยซูได้สอนเราไว้ครับ
ผมพบว่ามีคริสตจักรหลายแห่งกำลังประสบปัญหาสมาชิกมาขายตรงกับสมาชิกในคริสตจักร สินค้ามากมาย บางท่านไม่มีเงินก็ให้ผ่อนกันได้ จนเกิดปัญหาทางการเงิน ตามทวงหนี้กัน สินค้าบางตัวบอกว่าให้ทดลองใช้ แต่คนลองใช้นึกว่าฟรึ ตอนหลังจะมาเก็บเงินก็เกิดการทะเลาะกัน สินค้าก็ไม่ได้มีคุณภาพ และสรรพคุณตามที่โฆษณาไว้ เกิดความวุ่นวายกันในคริสตจักร จนบางโบสถ์เป็นเรื่องใหญ่ลุกเป็นไฟก็เจอมาแล้ว
ถ้าท่านรู้สึกว่า "ธุรกิจขายตรง" ทำให้ "ความรัก"ของท่านที่มีต่อคนรอบข้าง "เยือกเย็น"ลง ผมว่าอันตรายแล้วครับ อย่างไรเสีย ปัจจุบัน ผมเลือกใช้คำว่า "การให้ เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ"(กจ.20:35) เป็นหลักในการดำเนินชีวิตคริสเตียน และตอบสนองต่อธุรกิจขายตรงที่เข้ามาในชีวิตของผมผ่านคริสตจักร ที่มักจะมีมากขึ้น และดูเหมือนจะรุนแรงขึ้นมากกว่าสมัยก่อนเสียอีก
ขอบคุณครับที่ให้คำหนุนใจในการทำธุรกิจขายตรงเพื่อมีส่วนในการรับใช้พระเจ้า
ตอบลบข้าพเจ้าคิดว่ากลุ่มธุรกิจขายตรง ชอบแอบอ้างว่าธุรกิจนี้ จะช่วยให้เรามีส่วนในการรับใช้พระเจ้ามากขึ้น แต่แท้ที่จริงแล้ว ผู้ทำธุรกิจขายตรงมาแสร้งเอาใจใส่พี่น้องในคริสตจักร เพื่อหวังให้พี่น้องคริสเตียน ช่วยซื้อของๆ เขา มาเป็น downline ของเขา เพื่อเขาจะมีรายได้มากขึ้น เมื่อเราเลิกซื้อของจากเขา เขาก็จะไม่เอาใจใส่เราเหมือนเดิม ไม่แยแสด้วยซ้ำ คนกลุ่มนี้ ทำตัวเป็นคริสเตียนที่เนียนมาก เขาจะมาโบสถ์สม่ำเสมอ เอาใจใส่เราดีมาก ๆ หลังโบสถ์ ก็จะชักชวนพี่น้องไปฟังการบรรยายที่ศูนย์ขายตรง ขับรถพาไป ฟังการบรรยาย สาธิตการใช้สินค้า มากกว่าจะเรียนพระคัมภีร์ในตอนบ่าย พี่น้องคริสเตียนก็เชื่อง่าย และชอบช่วยเหลือพี่น้อง ไม่คิดว่าคนพวกนี้เป็นคริสเตียนจอมปลอม เข้ามาในคริสตจักรต่างๆมากมาย อย่างน่ากลัว หลอกให้พี่น้องซื้อของที่แพงกว่าความจริง เช่น Amway , Aviance etc. พวกอาหารเสริม เครื่องกรองน้ำ เครื่องสำอางค์ ข้าพเจ้าถูกหลอกมาแล้ว หลงกลช่วยซื้อสินค้าจากพวกเขาเป็นแสน พอรู้ตัว เลิกซื้อ คนพวกนี้จะเลิกเอาใจใส่เราเลย ทักก็ไม่ทัก พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อพวกเขาไม่ได้ประโยชน์จากเรา จอมปลอมแท้ๆ พวกนี้จะมีจิตวิทยาสูง พูดเก่ง มีมนุษย์สัมพันธ์ดีมาก พวกนี้ทำให้คริสตจักรเป็นที่ค้าขายของเขา (Market Place) ขอให้พระเจ้าจัดการกลุ่มคนที่หลอกลวงเหล่านี้ ใครที่รู้ตัวว่าหลอกลวงพี่น้องเพื่อประโยชน์ของตน ก็จงเลิกเสียเถิด
ตอบลบมันไม่เสมอไปหรอกค่ะ ดิฉันคิดว่ามันขึ้นอยู่กับจิตสำนึก ที่คุณ "ไม่ระบุชื่อ" บอกว่าพวกเขาเป็นคริสเตียนปลอม บางทีคนที่ไม่ได้ขายตรงก็ทำพฤติกรรมเช่นเดียวกับพวกเขานะคะ ดังนั้นอย่าไปตัดสินเลยค่ะว่าคนทำอาชีพขายตรงนั้นจะต้องเป็นคริสเตียนปลอมกันทุกคน
ตอบลบ