วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

คริสเตียนไทยกับยุคสุดท้ายในประเทศไทย





ผมขอบคุณพระเจ้าสำหรับการที่มีคนสมัครสมาชิก และติดตามอ่านบทความในเว็บ "สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า..."คริสเตียน"" ครบ 80คนแล้วครับ ตอนนี้มีผู้เขียนบทความอยู่ 2คนครับ คือผมกับคุณนุชซึ่งผมเชิญมาเขียนด้วย เพราะแต่ละคนก็จะมีมุมมอง และแง่คิดในการดำเนินชีวิตคริสเตียนแตกต่างกัน ในอนาคตอันใกล้ ผมก็ยังอยากเชิญอีกหลายท่านเข้ามาร่วมเขียนบทความเพื่อเพิ่มความหลากหลายมากขึ้นครับ


หลายๆครั้งผมมักจะมีไอเดีย หรือแง่มุมคิดที่โผล่ปั๊บขึ้นมาทันทีทันใด เสียดายที่ผมไม่รีบเขียน ความคิดนั้นก็เลยลืมไปบ้าง หายไปบ้าง ก็เลยมาคิดว่า ในการดำเนินชีวิตของเราก็เช่นเดียวกัน เหมือนพระคัมภีร์ พระเจ้าก็ตรัสไว้ว่า ยากอบ 4:14 แต่ว่าท่านไม่รู้เรื่องของพรุ่งนี้ ชีวิตของท่านเป็นเช่นใดเล่า ท่านก็เป็นเช่นหมอกที่ปรากฏอยู่เพียงชั่วครู่แล้วก็หายไป และสิ่งใดที่อยากทำแล้วไม่รีบทำซะ เราอาจจะไม่มีโอกาสทำสิ่งนั้นอีกเลย


ยิ่งในช่วง 2-3ปีมานี้ เราเผชิญกับปรากฎการณ์ต่างๆที่ถ้ามาพิจารณาแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ปกติเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมือง ประท้วง เผาบ้านเผาเมือง ที่แม้ปัจจุบันก็ไม่ได้เรียกว่าสงบหรือจบสิ้น ปัญหาต่างๆยังคงอยู่รอวันปะทุขึ้นมาอีกอย่างแน่นอน 






เหตุการณ์ภัยธรรมชาติ ต้นปี54ที่เกิดสึนามีที่ประเทศญี่ปุ่น มาปลายปีที่เกิดมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในรอบ 50ปี มีถึง 38จังหวัด หรือเรียกได้ว่า ครึ่งประเทศที่ประสบปัญหาน้ำท่วมที่โหดร้ายรุนแรง








ผมว่าอย่าให้เราหลงลืมสิ่งเหล่านี้ครับ ใช่ที่เราจะต้องปรับตัวเพื่อดำเนินชีวิตต่อไป แต่ต้องเอาบทเรียนที่เกิดขึ้นนี้มาดำเนินชีวิตอย่างระมัดระวังครับ สิ่งใดที่เราคิดว่าจะไม่เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นแล้ว และสิ่งที่เราคิดว่าจะไม่เกิดขึ้นก็สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้ 




ใครจะพยากรณ์สิ่งใดที่เป็นหมอดูหมอเดาผมไม่เคยเชื่อครับ แต่อาจจะเป็นประเภทฟังหูไว้หูถ้ามาจากนักวิทยาศาสตร์ เพราะอย่างหนึ่งที่เราต้องยอมรับว่า โลกเรากำลังเปลี่ยนไปครับ สภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะสาเหตุใดก็ตาม(โลกร้อน ขั้วโลกเปลี่ยน พายุสุริยะ ฯลฯ) สิ่งหนึ่งที่เรายึดถือ และเชื่อมั่นก็คือพระคัมภีร์ได้พยากรณ์ถึงสิ่งเหล่านี้ไว้อยู่แล้วว่า ยุคสุดท้ายจะเกิดภัยพิบัติต่างๆ รุนแรงขั้น ถี่ขึ้น โดยเปรียบเทียบง่ายๆเหมือนกับ "หญิงมีครรภ์ใกล้คลอด" และสิ่งนี้ก็มาถึงจริงๆครับ 






ในพระคัมภีร์จะมีหลายส่วน หลายบท หลายผู้พยากรณ์ ที่พูดถึงเรื่องราวของยุคสุดท้าย ท่านสามารถหาอ่านประกอบได้จากหนังสือคริสเตียนหลายๆเล่มทั้งที่คนไทยเขียนเอง และมีการแปลมาจากภาษาต่างประเทศนะครับ แต่บทหนึ่งที่สำคัญ ที่ผมอ่านและเข้าใจง่ายๆมากที่สุดก็คือ พระธรรมมัทธิวบทที่ 24ทั้งบท ซึ่งผู้ที่พยากรณ์ก็คือองค์พระเยซูคริสต์ครับ



1ฝ่ายพระเยซูทรงออกจากบริเวณพระวิหาร แล้วขณะเสด็จไป พวกสาวกของพระองค์มาชี้ตึกทั้งหลาย ในบริเวณพระวิหารให้พระองค์ทอดพระเนตร
2พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า "สิ่งสารพัดเหล่านี้พวกท่านเห็นแล้วมิใช่หรือ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ศิลาที่ซ้อนทับกันอยู่ที่นี่ ซึ่งจะไม่ถูกทำลายลงก็ไม่มี"
3เมื่อพระเยซูประทับบนภูเขามะกอกเทศ พวกสาวกมาเฝ้าส่วนตัวกราบทูลว่า "ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ทั้งหลายทราบว่า เหตุการณ์เหล่านี้จะบังเกิดขึ้นเมื่อไร สิ่งไรเป็นหมายสำคัญว่าพระองค์จะเสด็จมา และยุคเก่าจะสิ้นสุดลง"
4พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ระวังให้ดี อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านให้หลง
5ด้วยว่าจะมีหลายคนมา ต่างอ้างนามของเราว่าตัวเขาเป็นพระคริสต์ เขาจะให้คนเป็นอันมากหลงไป
6ท่านทั้งหลายจะได้ยินเสียงสงคราม และข่าวลือเรื่องสงคราม คอยระวังอย่าตื่นตระหนกเลย ด้วยว่าบรรดาสิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้น แต่ที่สุดปลายยุคยังไม่มาถึง
7เพราะ ประชาชาติต่อประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อราชอาณาจักรจะต่อสู้กัน ทั้งจะเกิดกันดารอาหารและแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ
8เหตุการณ์ทั้งปวงนี้เป็นขั้นแรกแห่งความทุกข์ลำบาก ซึ่งต้องมีมาก่อนกำเนิดยุคใหม่
9"ในเวลานั้นเขาจะอายัดท่านทั้งหลายไว้ ให้ทนทุกข์ลำบากและฆ่าท่านเสีย และประชาชาติต่างๆจะเกลียดชังพวกท่าน เพราะความจงรักภักดีของท่านที่มีต่อเรา
10คราวนั้นคนเป็นอันมากจะถดถอยไป และอายัดกันและกันทั้งจะเกลียดชังซึ่งกันและกันด้วย
11ผู้เผยพระวจนะปลอมหลายคนจะเกิดมีขึ้น และล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไป
12ความรักของคนส่วนมากจะเยือกเย็นลง เพราะความอธรรมแผ่กว้างออกไป
13แต่ผู้ใดทนได้จนถึงที่สุดผู้นั้นจะรอด
14ข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า จะได้ประกาศไปทั่วโลก ให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติ แล้วที่สุดปลายจะมาถึง
15"เหตุฉะนั้นเมื่อท่านทั้งหลายเห็นสิ่งอันน่าสะอิดสะเอียน ซึ่งกระทำให้เกิดความวิบัติ ตามพระวจนะที่ตรัสโดยดาเนียลผู้เผยพระวจนะนั้นตั้งอยู่ในสถานบริสุทธิ์ (ให้ผู้อ่านเข้าใจเอาเถิด)
16เวลานั้นให้ผู้ที่อยู่ในแคว้นยูเดียหนีไปยังภูเขา
17ผู้ที่อยู่บนดาดฟ้าหลังคาตึก อย่าให้ลงมาเก็บข้าวของออกจากตึกของตน
18ผู้ที่อยู่ตามทุ่งนา อย่าให้กลับไปเอาเสื้อผ้าของตน
19แต่ในวันเหล่านั้น อนิจจา น่าสงสารหญิงที่มีครรภ์ หรือมีลูกอ่อนกินนมอยู่
20จงอธิษฐานขอ เพื่อการที่ท่านต้องหนีนั้นจะไม่ตกในฤดูหนาว หรือในวันสะบาโต
21ด้วยว่าในคราวนั้นจะเกิดความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่ง อย่างที่ไม่เคยมีตั้งแต่เริ่มโลกมาจนถึงทุกวันนี้ และในเบื้องหน้าจะไม่มีต่อไปอีก
22ถ้ามิได้ทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า จะไม่มีมนุษย์รอดได้เลย แต่เพราะทรงเห็นแก่ผู้เลือกสรร จึงทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า
23ในเวลานั้นถ้าผู้ใดจะบอกพวกท่านว่า "แน่ะ พระคริสต์อยู่ที่นี่" หรือ "อยู่ที่โน่น" อย่าได้เชื่อเลย
24ด้วยว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จ และผู้ทำนายเทียมเท็จหลายคนเกิดขึ้น ทำหมายสำคัญอันใหญ่และการมหัศจรรย์ ล่อลวงแม้ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลง ถ้าเป็นได้
25ดูเถิดเราได้กล่าวเตือนท่านทั้งหลายไว้ก่อนแล้ว
26เหตุฉะนั้นถ้าใครจะบอกท่านทั้งหลายว่า "ท่านผู้นั้นอยู่ในถิ่นทุรกันดาร" ก็จงอย่าออกไป หรือจะว่า "อยู่ที่ห้องใน" ก็จงอย่าเชื่อ
27ด้วยว่าฟ้าแลบมาจากทิศตะวันออก ส่องไปจนถึงทิศตะวันตกฉันใด การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นฉันนั้น
28ซากศพอยู่ที่ไหน ฝูงนกแร้งก็จะตอมกันอยู่ที่นั่น
29"แต่พอสิ้นความทุกข์ลำบากแห่งวันเหล่านั้นแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดไป และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง ดวงดาวทั้งปวงจะตกจากฟ้า และบรรดาสิ่งที่มีอำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้าน
30เมื่อนั้นนิมิตแห่งบุตรมนุษย์ จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้า มนุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะตีอกร้องไห้ บุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า ทรงฤทธานุภาพและพระสิริเป็นอันมาก
31พระองค์ทรงใช้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ มาด้วยเสียงแตรอันดังยิ่งนัก ให้รวบรวมคนทั้งปวงที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้แล้ว ทั้งสี่ทิศนั้น ตั้งแต่ที่สุดฟ้าข้างนี้จนถึงที่สุดฟ้าข้างโน้น
32"จงเรียนคำเปรียบเรื่องต้นมะเดื่อ เมื่อแตกกิ่งแตกใบ ท่านก็รู้ว่าฤดูร้อนใกล้จะถึงแล้ว
33เช่นนั้นแหละ เมื่อท่านทั้งหลายเห็นบรรดาสิ่งเหล่านั้นก็ให้รู้ว่า พระองค์เสด็จมาใกล้จะถึงประตูแล้ว
34เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปก่อนสิ่งทั้งปวงนั้นบังเกิดขึ้น
35ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่ถ้อยคำของเราจะสูญหายไปหามิได้เลย
36"แต่วันนั้น โมงนั้น ไม่มีใครรู้ ถึงบรรดาทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ รู้แต่พระบิดาองค์เดียว
37ด้วยสมัยของโนอาห์ ได้เป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมา ก็จะเป็นอย่างนั้น
38เพราะว่าเมื่อก่อนวันน้ำท่วมนั้น คนทั้งหลายได้กินและดื่มกัน ทำการสมรสและยกให้เป็นสามีภรรยากัน จนถึงวันที่โนอาห์เข้าในนาวา
39และน้ำท่วมมากวาดเอาเขาไปสิ้น โดยไม่ทันรู้ตัวฉันใด เมื่อบุตรมนุษย์จะเสด็จมาก็จะเป็นฉันนั้น
40เมื่อนั้นชายสองคนอยู่ที่ทุ่งนา จะทรงรับคนหนึ่ง ทรงละคนหนึ่ง
41หญิงสองคนโม่แป้งอยู่ที่โรงโม่ จะทรงรับคนหนึ่ง ทรงละคนหนึ่ง
42เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านไม่รู้ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านจะเสด็จมาเวลาไหน
43จงจำไว้ว่า ถ้าเจ้าของบ้านล่วงรู้ได้ว่าขโมยจะมายามไหน เขาจะตื่นอยู่และระวัง ไม่ให้ทะลวงเรือนของเขาได้
44เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเตรียมพร้อมไว้ เพราะในโมงที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา
45"ใครเป็นทาสสัตย์ซื่อและฉลาด ที่นายได้ตั้งไว้เหนือพวกบ่าวทาสสำหรับแจกอาหารตามเวลา
46เมื่อนายมาพบเขากระทำอยู่อย่างนั้น ทาสผู้นั้นก็จะเป็นสุข
47เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายจะตั้งเขาไว้ให้ดูแลบรรดาข้าวของของท่าน
48แต่ถ้าทาสนั้นชั่วและคิดในใจว่า "นายของข้ามาช้า"
49แล้วจะตั้งต้นโบยตีเพื่อนทาสและกินดื่มอยู่กับเพื่อนขี้เมา
50นายของทาสผู้นั้น จะมาในวันที่เขาไม่คิดในโมงที่เขาไม่รู้
51และจะทำโทษเขาถึงสาหัส ทั้งจะขับไล่ให้เขาไปอยู่ในที่ของพวกคนหน้าซื่อใจคด ซึ่งที่นั่นจะมีแต่การร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

ผมค่อนข้างห่วงคริสเตียนไทยโดยตรง เนื่องจากมิติทางการเมือง และภัยธรรมชาติของประเทศเรานั้น ยังครุกรุ่นมากครับ เราจะดำเนินชีวิตอย่างไรในเหตุการณ์เหล่านี้

อย่างแรกเลย ผมเห็นความแตกแยกทางความคิดเรื่องของการเมืองอย่างชัดเจนในหมู่คริสเตียน แบ่งสีเสื้อกัน แต่เราก็ยังปรับตัวว่าจะไม่คุยเรื่องการเมืองเหล่านี้ในระหว่างพี่น้องคริสเตียน เพราะไม่อย่างนั้นจะทะเลาะกันแน่ ก็เป็นเรื่องที่ดีครับ อีกสิ่งหนึ่งที่ผมยังกังวลก็คือเรื่องแนวคิดสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ปัจจุบันมีการจุดกระแสการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 112 และอื่นๆอันจะส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงสถานะของพระมหากษัตริย์ครั้งใหญ่เกิดขึ้น แนวคิดนี้คิดว่าคงจะไม่หยุดอย่างแน่นอนเพราะมีผู้ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง โดยฐานะของพระมหากษัตริย์ตอนนี้ยังได้รับการหนุนหลังจากทหารและกองทัพอยู่ แต่....ในอีกไม่นาน ถ้าเกิดการเปลี่ยนรัชกาล ผมยังเดาไม่ออกเลยว่า กองทัพจะยังจงรักภักดีต่อองค์รัชกาลใหม่เหมือนกับในหลวงรัชกาลปัจจุบันหรือไม่ 



ซึ่งถ้าคุมเรื่องนี้ไม่อยู่แล้ว จะเกิดการปะทะระหว่างผู้สนับสนุนราชบัลลังค์ และกลุ่มผู้ต้องการเปลี่ยนแปลงการเมืองไปสู่ระบอบรัฐไทยใหม่ครับ ผมห่วงว่าการปะทะกันจะไม่ใช่แบบเดิมอีกต่อไปเพราะเราเห็นและมีประสบการณ์การชุมนุมมา3-4ปีทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดงในครั้งก่อน แต่การชุมนุมและปะทะกันจะเกิดเป็นสงครามกลางเมืองในครั้งใหม่อย่างแน่นอนครับ เพราะอย่างที่เห็นอยู่ว่าในการชุมนุมครั้งล่าสุดได้มีการจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธขึ้นมาแล้ว มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ชุมนุมแตะ100คนทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน




ถามว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น คริสเตียนไทยจะอยู่อย่างไรครับ 

ต่อมาก็เป็นเรื่องภัยภิบัติธรรมชาติ ซึ่งเหตุการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้น 3-4เดือนเมื่อปลายปี 54 เป็นเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่าตึงเครียดมากทั้งผู้ประสบเหตุ และผู้ที่ติดตามเหตุการณ์ ผมคนนึงที่ดูข่าวในแต่ละวัน ไม่มีข่าวดีเลยครับ น้ำท่วมไปทุกที่ และไปถึงอย่างรวดเร็ว ไม่มีที่ใดที่ป้องกันเอาไว้ได้ มีแต่จะต้องอพยพ หรือเยียวยากันอย่างไรเท่านั้น ผมเห็นถึงความล้มเหลวของภาครัฐ ที่จะรับมือต่อเหตุการณ์ภัยธรรมชาติ มีแต่ภาคเอกชน และภาคประชาชนที่ต้องออกมาช่วยเหลือกันเอง โดยมีทหารเป็นกำลังหลักเท่านั้น




คิดถึงเหตุการณ์ภัยธรรมชาติอื่นๆที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นในอนาคตหรือเปล่าครับ หลายคนอาจจะเตรียมตัวรับมือน้ำท่วมครั้งใหม่ในปีหน้าที่จะถึงนี้ แต่ผมไม่อยากให้ประมาทถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหว หรือสึนามิที่อาจจะซัดเข้ามาทางฝั่งอ่าวไทยบ้าง ซึ่งคลื่นอาจจะรุนแรงคือซัดเข้ามาจนถึงเขตกรุงเทพชั้นในเพื่อความเท่าเทียมกันสำหรับเขตที่ไม่โดนน้ำท่วมในปีที่ผ่านมา (ขำๆนะครับ)



ในช่วงน้ำท่วม ผมถึงกับเตรียมซื้อเครื่องปั่นไฟ เรือ อุปกรณ์ยังชีพฉุกเฉิน วิทยุสื่อสารเผื่อการสื่อสารล่ม ฯลฯ เป็นสิ่งที่เตรียมพร้อมเอาไว้ แม้ว่าน้ำจะไม่ได้มาท่วมทางเขตบางนาบ้านของผมก็ตาม แต่ก็คิดว่าไม่ประมาท "มีแล้วไม่ได้ใช้ ยังดีกว่าจะใช้แล้วไม่มี"ครับ



แต่ท้ายที่สุดแล้ว ถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นนอกจากการเอาชีวิตรอดของตัวเราและครอบครัวของเราแล้ว สิ่งนึงที่คริสเตียนไทยไม่ควรลืมก็คือ หน้าที่ของคริสเตียน ในการประกาศข่าวประเสริฐในยุคสุดท้าย เพื่อนำคนมาถึงความรอดให้มากที่สุดก่อนที่เขาจะจากโลกนี้ไปครับ ผมยังนึกถึงคุณยายคนนึงสมัยผมเป็นวัยรุ่นยังขึ้นรถเมล์ มีคุณยายท่านนึงมานั่งคุยกับผมบนรถเมล์เพื่อจะประกาศข่าวประเสริฐกับผม ผมบอกคุณยายไปว่า คุณยายครับ ผมรับเชื่อเป็นคริสเตียนอยู่แล้วครับ คุณยายดีใจมากบอกกับผมว่าจงรักษาความเชื่อเอาไว้จนวันสุดท้าย และประกาศข่าวประเสริฐนี้กับคนอื่นๆด้วย ผมยังคำคุณยายท่านนั้นได้จนวันนี้ครับ และเชื่อว่านี่คือหน้าที่หลักของเราคริสเตียนไทย ในยุคสุดท้ายนี้ครับ 



"มีชีวิตก็อยู่เพื่อพระคริสต์ และการตายนั้นเราก็ได้กำไร" อย่างที่อาจารย์เปาโลได้พูดเอาไว้ครับ

1 ความคิดเห็น:

  1. ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก

    ตอบลบ