วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เมื่อคริสเตียนอย่างผม ต้องไปงานศพของอาเจ็ก....

จาก พค.2009

เมื่อสัปดาห์ก่อน หม่าม้าผมโทรมาหาผมแล้วบอกว่า "นี่วันที่17ลื้อห้ามไปไหน ตอนเย็นมารับอั้วะกับอาม่าที่บ้าน พาไปงานศพอาเจ็กที่วัดบัวขวัญหน่อย....มาให้ตรงเวลานะ" เมื่อคำบัญชาประกาศิตดั่งฟ้าผ่าจากหม่าม้าที่เคารพรักของกระผม ด้วยความที่เป็นลูกชายคนโต ตั่วเฮียของบ้านที่ต้องทำหน้าที่"ชวนป๋วยปี่แป่กอ ลูกกตัญญู"จึงต้องน้อมรับอย่างขัดขืนมิได้ ไม่อย่างนั้น คงโดนหม่าม้าด่าจนหูชาเป็นแน่แท้

ผมเป็นลูกชายคนโตในครอบครัวคนจีนแต้จิ๋ว(ซึ่งเป็นจีนจากซัวเถาทางตอนใต้ของจีน ถือว่าเป็นจีนที่มีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทย) ผมเป็นคริสเตียนตั้งแต่อายุ 18ปี ตอนแรกโดนต่อต้านจากที่บ้านอย่างหนัก แต่ก็ผ่านมาได้โดยการยืนหยัดและสติปัญญาที่มาจากพระเจ้า จนปัจจุบันเป็นที่รู้กันทั้งวงศ์ตระกูลว่าผมเป็นคริสเตียน จากการสืบประวัติของตระกูลจากอาม่า และตั่วแปะ ก็ทราบว่า ผมคงจะเป็นคริสเตียนคนแรกของแซ่ฮ้อแน่ๆ ดังนั้น ผมจึงถือเป็นดั่งคนที่จะนำพระพรมาสู่ครอบครัวและวงศ์ตระกูลของผม เป็นผลแรกของแซ่ฮ้อที่เป็นลูกพระเจ้า แต่การรักษาความเชื่อท่ามกลางวงศาคณาญาติที่ล้วนเป็นพุทธจีนแท้ๆเนี้ยะ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าใดนัก ไม่ว่าจะตามเทศกาลต่างๆของความเชื่อแบบจีนเช่น ตรุษจีน เช็งเม้ง ไหว้ครบรอบวันตายของอากง สาทรจีน ฯลฯ....ยังดีที่บ้านผมค่อนข้างเป็นจีนสมัยใหม่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงจะได้มีการไหว้พระจันทร์หรือไหว้รอยเท้าของนีล อาร์มสตรองนักบินอวกาศที่ขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์เมื่อหลายสิบปีก่อน

และเหตุการณ์ที่ผมจะต้องเจอในคราวนี้ก็คือการไปงานศพ โดยพื้นฐานของความเชื่อแบบจีน ซึ่งผสมผสานระหว่างความเชื่อทางพุทธศาสนาและลัทธิเต๋า ซึ่งจะเน้นไปทางความกตัญญูต่อบรรพบุรุษทั้งที่มีชีวิตอยู่และตายไปแล้วที่ต้องตามไปกราบไหว้ ขอพร นำเครื่องเซ่นไหว้ และบรรดากระดาษกงเต็กเผาไปให้ผีบรรพบุรุษได้ใช้ คือโลกของคนตายและโลกของคนเป็นจะมีส่วนเกี่ยวข้องกันค่อนข้างมากสำหรับคนเชื้อสายจีน

เมื่อวันที่นัดหมายกับหม่าม้าผมมาถึง ผมก็สวมใส่ชุดดำซึ่งถือว่าเป็นสีที่สุภาพในการไปงานศพ แล้วก็ออกไปรับหม่าม้า กับอาม่าของผม แล้วก็ขับรถขึ้นทางด่วนด้วยความรวดเร็วไปถึงงานศพที่วัดบัวขวัญแถวถนนงามวงศ์วานประมาณ 18.30น. จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้ผมรู้ว่า ควรต้องทำอย่างไรเมื่อถึงงาน

1. ไปทักทาย สวัสดีเจ้าภาพ และญาติผู้ใหญ่ที่มาร่วมงาน และใส่ซองสำหรับช่วยงานตามกำลังครับ
2. หาที่นั่งมุม แถวหลังเพื่อไม่ให้โดดเด่น เป็นที่สังเกตมากนัก เพราะเมื่อมีการสวดโดยพระภิกษุ ทุกคนจะพนมมือกันหมด ส่วนเราที่เป็นคริสเตียนจะไม่พนมมือครับ
3. ถ้าทางเจ้าภาพเชิญให้ไปเคารพศพ เราก็สามารถเดินเข้าไป แล้วโค้งคำนับศพได้ครับ ไม่ผิดอะไร เพราะถือเป็นการให้เกียรติแก่เจ้าภาพ และผู้ตาย ไม่ได้เป็นการกราบนมัสการ บูชาครับ (แต่ถ้าไม่มีใครเชิญก็อาจจะเข้าไปหรือไม่เข้าไปก็ได้ครับ แล้วแต่เรา)
4. ตลอดเวลาที่ร่วมอยู่ในพิธี เราควรจะสำรวมและให้เกียรติแก่งานนั้น ไม่ใช่หันหน้าคุยกัน หรือโทรศัพท์ขณะที่พระกำลังสวด เวลาที่คนอื่นพนมมือ เราควรจะประสานมือวางบนตักให้เรียบร้อยครับ
5. เวลาทานอาหารที่ทางเจ้าภาพจัดให้ เราก็รับประทานได้ครับ เพราะอาหารในงานศพไม่ได้ผ่านการไหว้มาครับ เขาปรุงกันตอนเย็นแล้วมาเสริฟเราเลย ทานได้ถ้าหิวครับ อย่าเกรงใจเพราะถ้าของเหลือ จะลำบากเจ้าภาพในการนำกลับ ถ้าไม่อิ่มก็เพิ่มได้ไม่น่าเกลียดครับ เพราะกว่างานจะเสร็จก็ประมาณ3ทุ่ม จะได้ไม่ต้องเสียเวลาออกไปหาอะไรทานต่อ
6. เมื่อเสร็จงาน ก็ไปลาเจ้าภาพนะครับ ไปลา มาไหว้ แค่นี้ครับ

จาก พค.2009

พิธีศพของพุทธแต่ละที่อาจจะไม่เหมือนกัน แล้วแต่วัดหรือทางมัคนายกจะจัดการให้ครับ ผมไปมาหลายที่ก็ไม่ค่อยซ้ำกันเท่าไหร่ อย่างไรเราก็ใช้สติปัญญาของเรา ให้เป็นคริสเตียนที่มีมารยาทเมื่อเข้าสังคมกับเหล่าคนที่ไม่เชื่อนะครับ อย่าให้ถูกเขาตำหนิได้

แต่งานศพที่ผมไปมาล่าสุดนี้ ผมค่อนข้างชอบเพราะ มีตอนที่พระท่านเทศนาด้วยครับ เนื้อหาดีมากเลย ผมก็ตั้งใจฟัง ท่านเทศน์ว่า "คนตายก็ตายไป แต่สำคัญคือคนที่อยู่ก็ต้องอยู่อย่างมีสติ ทำดี สะสมบุญให้มาก ละเลิกจากกิเลสตัณหา เพราะไม่รู้ว่าวันไหนคนที่อยู่ตรงนี้ก็ต้องมานอนในโลงเช่นเดียวกัน" ท่านเทศน์อยู่ประมาณ20นาที ใช้ได้เลยครับ ก็คล้ายๆกับงานศพคริสเตียนที่เราจะมีการเทศนาเพื่อเตือนสติคนที่ยังมีชีวิตอยู่ให้รีบรับใช้พระเจ้า หรือคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้าก็ให้มาหาพระเยซูซะ ผมว่ามีการเทศน์อย่างนี้ดีกว่ามาสวดๆๆภาษาบาลีอะไรก็ฟังไม่รู้เรื่อง คนตายก็ไม่รู้เรื่อง คนเป็นยิ่งไม่รู้เรื่องใหญ่ ไม่รู้ว่าคนสวดรู้เรื่องด้วยหรือเปล่าเพราะท่องๆกันมา

สำคัญคือเมื่อเรามีโอกาสในงานศพ ไม่ว่าจะความเชื่อใดก็ตาม ล้วนมีเหตุคือ 1. เพื่อคนที่มีชีวิตอยู่คือการเตือนสติในการใช้ชีวิต 2. เพื่อระลึกถึงความดีงามของผู้ที่จากไป ซึ่งเราควรฉวยโอกาสตรงนี้ไตร่ตรองตัวเอง และเป็นพยานต่อคนรอบข้างให้รู้จักทางไปสวรรค์ที่มีทางเดียวก็คือทางกางเขนของพระเยซูคริสต์ แม้ว่าเราจะได้ไปแล้ว ก็อย่าลืมว่ามีอีกหลายคนที่ยังหลงทางอยู่นะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น