วันเสาร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2552

เมื่อคนหัวเราะเยาะเรา... เราจะตอบสนองอย่างไร




วันนี้ได้รับรู้เรื่องราวนึงมาครับ ซึ่งทำให้ผมมีสติ และเชื่อว่าพระเจ้าตรัสสอนอะไรเราบางอย่างในเวลาที่เหมาะสมเหลือเกิน เพราะถ้าเรื่องราวนี้เกิดขึ้นกับผมในเวลาอื่น ผมคงไม่ได้ตอบสนองแบบอย่างที่ทำอยู่ในวันนี้ครับ

เมื่อสักสองสามวันที่แล้ว ผมมีโอกาสได้กลับไปประชุมงานๆหนึ่งในกลุ่มขององค์กรที่ผมเคยรับใช้ด้วย จริงๆแล้วผมไม่จำเป็นต้องไปประชุมด้วยก็ได้เนื่องจากผมไม่ได้เป็นสมาชิกที่เกี่ยวข้องด้วยแล้ว แต่เพราะอาจารย์เพื่อนผู้รับใช้ท่านนึงที่ผมนับถือกันได้ชวนมาร่วมประชุมเพราะเห็นว่าเนื้อหาการประชุมเป็นเรื่องของอนุชนที่ผมมีความถนัดและรับใช้พระเจ้าในด้านนี้อยู่มาเป็นเวลานาน เผื่อผมจะมีข้อคิดดีๆเป็นประโยชน์สำหรับที่ประชุมบ้าง

ผมก็ยินดีที่จะได้เข้าร่วมประชุมด้วยครับ จึงสละเวลานัดอื่นๆเพื่อไปเข้าประชุม แล้วก็อยากนำเสนอไอเดียใหม่ๆสำหรับงานพันธกิจของอนุชนในปี 2009 ซึ่งต้องยอมรับเลยว่า โลกของวัยรุ่นนั้นหมุนเร็วไปกว่าโลกหลายเท่านั้น ทั้งสื่อเอย ดิจิตอลเอย ทัศนคติ แฟชั่น ฯลฯ จนทำให้คนที่อายุ 34อย่างผมถึงกับตกยุคไปแล้ว ถ้าไม่ได้ติดตามพวกวัยรุ่นเหล่านี้อย่างใกล้ชิด (อย่านับอาจารย์ที่อาวุโสเกิน 45ไปแล้วเลยครับ วิ่งตามวัยรุ่นเหล่านี้ไม่ทันแน่ๆ)

พันธกิจที่เขากำลังประชุมกันกล่าวถึง การที่จะให้องค์กรของเขานั้นเป็นศูนย์กลางในการจัดงานที่รวบรวมกลุ่มของผู้นำคริสเตียนวัยรุ่นประเทศเพื่อนบ้านของเราเช่น พม่า เขมร ลาว เวียดนาม และมาเลเซียมาฟื้นฟู หนุนใจ โดยที่มีประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง โดยจัดงานตามตะเข็บชายแดนด้านต่างๆเช่น ทางลาวก็ใช้จังหวัดหนองคาย ทางเขมรใช้บุรีรัมย์ ทางพม่าใช้จังหวัดตากหรือระนอง ทางมาเลเซียใช้ยะลาเป็นต้น ซึ่งเนื้อหาการประชุมผมคงไม่ได้เล่าให้ฟัง แต่เมื่อถึงช่วงหนึ่งผมมีโอกาส จึงได้ขอเสนอไอเดียที่ตอนนี้ผมกำลังทำอยู่ เผื่อจะได้มาJoinกันกับงานขององค์กรนี้ ด้วยความปรารถนาดีจริงๆ

แต่เมื่อได้นำเสนอเสร็จแล้ว กลับถูกผู้นำบางท่านกระโดดขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงไอเดียของผมทันที ทำให้ผมที่มีความปรารถนาดีจริงๆ กลายเป็นตัวตลกของที่ประชุมไป!!! ถามว่าตอนนั้นผมรู้สึกอย่างไรเหรอครับ ผมตอบว่า ....ผมไม่รู้สึกครับ :) เพราะผมคิดว่าสิ่งที่ผมทำนั้นออกมาจากใจ ไม่มีสิ่งอื่นใด และคิดว่าถ้าจะเป็นประโยชน์ได้กับงานขององค์กรหรือหน่วยงานใดก็ยินดี แต่ถ้าไม่ได้ ก็ไม่ได้คิดหรือคาดหวังอะไร เพราะตัวของงานที่ผมทำอยู่มันก็เป็นประโยชน์ต่ออีกหลายๆคนอยู่แล้ว และมีหลายฝ่ายที่ต้องการสิ่งที่ผมได้เริ่มทำ ซึ่งเคยมีคนที่พยายามทำแต่ไม่สำเร็จ..........

พอจบจากการประชุมนั้นออกมา ผมก็ลืมเรื่องนี้ไป จนมาวันนี้ มีพี่น้องคนรับใช้ใกล้ชิดท่านนึง ที่ได้เข้าประชุมงานนั้นมาเล่าให้ผมฟังว่า หลังจากงานประชุมนั้น เรื่องไอเดียโครงการของผม เป็นที่พูดกันในกลุ่มผู้นำผู้รับใช้สองสามคน(ที่มีอิทธิพลมาก)ว่า..........ผมเป็นตัวตลก ที่ขึ้นไปโชว์ความโง่ และถูกฆ่าบนหน้าที่ประชุม........... โอ้ พระเจ้า ......ไม่น่าเชื่อว่าผู้นำที่ผมนับถือกลับหัวเราะเยาะผม จากความต้ังใจดีของผมเสียได้.......

แทนที่ผมจะรู้สึกโกรธ ขอบคุณพระเจ้าที่ผมไม่รู้สึกเช่นนั้นครับ แต่ทำให้ผมพบว่า นี่คือสัญญาณที่มาจากพระเจ้่าอย่างชัดเจนว่า ผมตัดสินใจถูกแล้วที่ไม่ได้ร่วมรับใช้กับองค์กรนี้อีก และผมเดินมาถูกทาง เพราะอะไรทราบไหมครับ............ไอเดียกันนี้ เมื่อวานนี้เอง ผมได้มีโอกาสคุยกับผู้นำท่านหนึ่ง ได้นำเสนอเหมือนกัน แต่การตอบสนองต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผู้นำท่านนี้มีวิสัยทัศน์และมองเห็นว่า สิ่งที่ผมทำถ้าดูเผินๆ จะเป็นงานที่ยาก แต่ว่า.......นี่ที่เรียกว่า"บุกเบิก" ซึ่งพระเจ้าเรียกผมให้ทำไม่ใช่เหรอ?.....

พระเจ้าตรัสกับผมคำนึงเมื่อไม่กี่วันมานี้ว่า "จงพาพระเยซูไปในที่ๆพระองค์ยังไม่เคยไป ทำในที่ๆพระองค์ยังไม่เคยทำ"   นี่คือพันธกิจบุกเบิกครับ.............. อาจารย์ท่านนี้ตอนนี้ท่านเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของงานพันธกิจที่ผมทำอยู่ครับ.....

ขอบคุณพระเจ้าที่ผมมาถูกทาง เมื่อผมรอคอยพระองค์....พระองค์ทรงชี้ทาง.....

เมื่อสิ่งหนึ่งที่คนหัวเราะเยาะคุณ แต่พระเยซูอาจจะทรงกำลังยิ้มชื่นชมคุณอยู่ก็ได้ครับ

สุภาษิต 3:34 พระองค์ทรงเยาะเย้ยคนที่มักเยาะเย้ยแต่พระองค์ทรงสำแดงพระคุณแก่คนใจถ่อม..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น